เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 6 เมษายน 2025 at 17:25.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,254
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,701
    ค่าพลัง:
    +26,558
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,254
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,701
    ค่าพลัง:
    +26,558
    วันนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ เป็นวันจักรีบรมราชวงศ์ ซึ่งโดยปกติแล้วจะมีการเปิดปราสาทพระเทพบิดร ให้บุคคลทั่วไปสามารถเข้าไปถวายสักการะพระบรมรูป ๙ รัชกาลของพระมหากษัติรย์ในราชวงศ์จักรีที่ภายในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งปีหนึ่งก็มีโอกาสเพียงครั้งเดียวเท่านั้น

    จึงเป็นเรื่องที่พวกเราถ้ามีโอกาสแล้วไม่ควรจะพลาด ไปกราบขอพรจากพระแก้วมรกตและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ แล้ว ได้ถือโอกาสเข้าไปกราบองค์บูรพมหากษัตริยาธิราชของไทย โดยเฉพาะในสมัยราชวงศ์จักรี ที่ทุกพระองค์ได้ประคับประคองนำพาประเทศชาติบ้านเมืองของเรา รอดพ้นจากสารพัดภัยมาจนกระทั่งถึงปัจจุบัน ให้เราท่านทั้งหลายได้มีโอกาสอยู่สุขอยู่เย็นบนแผ่นดินนี้

    ถ้าท่านไม่เข้าใจคำว่า "อยู่สุขอยู่เย็น" เป็นอย่างไร ขอให้ไปดูที่ทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี ในช่วงที่แผ่นดินไหวใหญ่ในประเทศพม่านั้น พี่น้องมอญพม่าที่อยู่อำเภอทองผาภูมิ แม้ว่าจะรู้สึกเศร้าหมองที่ญาติพี่น้องของตนต้องเสียชีวิตบ้าง บ้านแตกสาแหรกขาดบ้าง แต่ว่าตนเองกลับอยู่อย่างมีความสุขในผืนแผ่นดินไทย สามารถที่จะส่งข้าวของเงินทองไปช่วยเหลือญาติพี่น้องของตนเองในประเทศพม่าได้

    ดังนั้น..บรรดา "ลิงได้แก้ว" หรือ "ไก่ได้พลอย" ในประเทศของเรา ที่คอยแต่จะประท้วงให้ยกเลิกมาตรา ๑๑๒ เนื่องเพราะไม่รู้ว่าการที่มีสถาบันพระมหากษัตริย์นั้น ช่วยค้ำจุนประเทศชาติเอาไว้ แผ่ร่มเงาให้ได้พึ่งพาอาศัยอยู่เย็นเป็นสุขมาช้านาน จนกระทั่งไม่รู้ว่าความลำบากเป็นอย่างไร แล้วไปรับเอาแนวคิดตะวันตก ของบุคคลที่ไร้ความกตัญญู เข้ามาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต จนกระทั่งมีความคิดวิปริตผิดเพี้ยนไป มองไม่เห็นสิ่งที่มีคุณค่า ซึ่งบรรพบุรุษของเราเทิดทูนมาโดยตลอด แล้วก็ไปทำในสิ่งที่น่าเกลียดน่าชังแบบนั้น..!

    โดยเฉพาะเป็นบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร อยู่ดีกินดี สามารถที่จะอุดหนุนจุนเจือญาติพี่น้องของตนเอง แต่กลับมาประท้วง กระผม/อาตมภาพถ้าอยู่ใกล้ ๆ ก็จะให้รางวัลไปสักทีเหมือนกัน..! เสียดายว่าอยู่ห่างไกลไปหน่อย..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,254
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,701
    ค่าพลัง:
    +26,558
    ในระยะนี้สิ่งหนึ่งที่คนทองผาภูมิเจอก็คือ บรรดาผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดมาถามหาซื้อที่ดิน ซึ่งในเรื่องของที่ดินนั้น อำเภอทองผาภูมิได้ "บูม" ขึ้นไปจนถึงราคาไร่ละเป็นล้านในสมัยพลเอกชาติชาย ชุณหะวัณเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากนั้น ราคาก็ตกลงมาจนปัจจุบันนี้

    ผู้ที่ถือครองที่ดินในสมัยนั้น ถ้าไม่ตัดใจตัดขาดทุนขายไปในราคาต่ำกว่าที่ตนเองได้ซื้อมา ก็เก็บเอาไว้เป็นมรดกของลูกหลานตนเองไปเลย กระผม/อาตมภาพอยากจะแนะนำว่า ถ้าท่านทั้งหลายตั้งใจที่จะซื้อที่ดิน เพื่อหลบหนีภัยธรรมชาติ ก็ควรจะไปซื้อที่ดินเหนือเขื่อนวชิราลงกรณขึ้นไป เพื่อป้องกันว่าถ้าเกิดแผ่นดินไหวหนัก ๆ แล้วเขื่อนถล่มลงมา ท่านจะได้ไม่มีปัญหาจากอุทกภัย

    ทางวัดท่าขนุนเอง ทุกวันนี้ก็รออยู่แค่ว่าเหตุการณ์วินาศสันตะโรนี้จะเกิดขึ้นเมื่อไรเท่านั้น..! ที่เห็นว่าอยู่เย็นเป็นสุขกันทุกวันนี้ ก็เพราะว่าฝากชีวิตไว้กับพระรัตนตรัย มั่นใจว่าถ้าจิตใจของเรามีพระเป็นที่พึ่ง ถึงเกิดเหตุหนักก็จะเป็นเบา ถ้าหากว่าเรื่องเบาก็จะเป็นหาย สามารถบรรเทาหรือระงับยับยั้งทุกข์ภัยต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเราได้ แต่ว่าเรื่องพวกนี้ บุคคลที่ขาดศรัทธาจะไม่เข้าใจ บางทีก็จะหาว่าพวกเรางมงายอีกต่างหาก..!

    เนื่องเพราะว่ากำลังใจของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน บุคคลที่กำลังใจมั่นคง มั่นใจว่าตนมีที่พึ่งอย่างแท้จริง ย่อมไม่หวั่นไหวต่อภยันตรายใด ๆ แต่ว่าบุคคลที่กำลังใจไม่มั่นคง ก็ย่อมต้องหวาดกลัวเป็นธรรมดา ดังบาลีที่ว่า อาหาระนิททัง ภะยะเมถุนัญจะ สามัญญะเปตัปปะสุภีนะรานัง อาหาระก็คืออาหาร, นิททังก็คือการนอน, ภะยะคือการกลัวภัย, เมถุนะคือการเสพกาม เป็นเรื่องปกติของมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย ก็แปลว่าความกลัวภัยนั้นมีอยู่ในมนุษย์ทุกรูปทุกนาม

    เพียงแต่ว่าถ้าท่านทั้งหลายปฏิบัติธรรมไปจนถึงระดับหนึ่ง ก็จะมองเห็นความเป็นจริงว่า การตายนั้นไม่ใช่การสิ้นสุดของชีวิต หากแต่เป็นการเปลี่ยนผ่านเท่านั้น ซึ่งภาษาไทยที่กล่าวว่าตายเหมือนอย่างกับเป็นจุดสิ้นสุดลง แต่ถ้าเป็นภาษาบาลี ท่านใช้คำว่า "จุติ" ก็คือการเคลื่อนไป แปลว่าเคลื่อนไปสู่ภพภูมิต่าง ๆ ตามกรรมดีกรรมชั่วที่เราได้กระทำเอาไว้ หรือถ้าเป็นภาษาจีนแต้จิ๋วที่ผู้ใหญ่เขาพูดกันก็คือ "ก่วยซี" ซึ่งแปลว่าข้ามร่าง ก็คือข้ามจากร่างนี้ไปอีกร่างหนึ่ง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,254
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,701
    ค่าพลัง:
    +26,558
    ร่างกายนี้ก็เหมือนกับรถยนต์คันหนึ่ง ตัวเราเปรียบเสมือนคนขับรถ ถึงเวลารถยนต์คันนี้พังลง เราก็ออกจากรถยนต์คันนี้ไปสู่รถยนต์คันใหม่ ตามบุญตามกรรมที่เราได้กระทำเอาไว้ ถ้าหากว่าสร้างกรรมดีไว้มาก ก็ได้รถดี ๆ สวย ๆ ราคาแพง ๆ ไว้ขับขี่ในชาติต่อไป ถ้าสร้างกรรมไม่ดีเอาไว้มาก ก็ได้รถพัง ๆ โทรม ๆ เอาไว้ขับขี่ในชาติต่อไป ซึ่งแปลว่าถ้าทำกรรมเอาไว้มาก ก็ต้องทนทุกข์ยากลำบากในชาติถัด ๆ ไป ซึ่งไม่ว่าจะคำว่าจุติ คือเคลื่อนไป หรือคำว่าก่วยซี ซึ่งแปลว่าข้ามร่างก็ดี เป็นการมองเห็นอย่างชัดเจนว่า ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต

    ดังนั้น..การที่เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่นี้ องค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เจนจบในทุกเรื่อง สามารถมองเห็นตั้งแต่จุดเริ่มต้นไปถึงจุดสิ้นสุด ว่าทำอย่างไรจึงจะสิ้นสุดการเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จบแบบนี้ ซึ่งก็คือแนวทางปฏิบัติที่เรียกว่าอัฏฐังคิกมรรค ที่คนไทยเรียกว่ามรรค ๘ หรือมรรคมีองค์ ๘ พูดง่าย ๆ ว่าเป็นหนทาง ๘ สาย ที่นำพาพวกเราให้ล่วงพ้นจากความทุกข์ เมื่อย่อลงมาแล้ว เหลือหลักศีล สมาธิ และปัญญา

    ศีลนั้นเป็นการขัดเกลากาย วาจา และใจของเรา ให้หลุดพ้นจากกิเลสในระดับหยาบ ๆ

    สมาธินั้นเป็นการขัดเกลากาย วาจา และใจของเรา ให้พ้นกิเลสในระดับกลาง

    ปัญญาเป็นเครื่องขัดเกลากาย วาจา และใจของเราให้พ้นกิเลสที่ฝังลึก บางทีเรียกว่าอนุสัย คือสิ่งที่นอนเนื่องอยู่ในสันดานของเรา


    ต้องทำจนครบถ้วนสมบูรณ์ หนทางทั้ง ๘ สายนี้จึงจะนำพาท่านทั้งหลาย หลุดพ้นจากกองทุกข์ เข้าสู่พระนิพพาน ซึ่งคำสอนนี้ไม่มีในศาสนาอื่น มีเพียงในพระพุทธศาสนาอย่างเดียวเท่านั้น

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายมองเห็นความเป็นจริงในชีวิตว่า มีเกิด มีตาย เป็นปกติธรรมดา ก็จะไม่หวั่นไหวกับเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ หากแต่ตั้งหน้าตั้งตาสร้างคุณงามความดี เพื่อทำให้หนทางการเวียนว่ายตายเกิดของตนเหลือให้สั้นที่สุด หรือว่าน้อยที่สุด ถ้าสามารถหลุดพ้นไปได้เลยก็ยิ่งดี ซึ่งต้องมีการขัดเกลา ฝึกฝนกาย วาจา และใจของตนเองเอาไว้เสมอ
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,254
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,701
    ค่าพลัง:
    +26,558
    เริ่มต้นจากการเพียรพยายามรักษาศีล ๕ ข้อให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ไม่ละเมิดศีลด้วยตนเอง ไม่ยุยงส่งเสริมให้ผู้อื่นละเมิดศีล ไม่ยินดีเมื่อเห็นผู้อื่นละเมิดศีล

    ถ้าสามารถทำได้โดยไม่หนักใจแล้ว ก็ขยับขึ้นไปรักษากรรมบถ ๑๐ ก็คือเพิ่มจากศีล ๕ ขึ้นไป เน้นในส่วนของวาจา นอกจากไม่พูดโกหกแล้ว ยังไม่พูดส่อเสียดให้คนแตกร้าวกัน ไม่พูดคำหยาบให้คนอื่นระคายหูหรือว่าเจ็บใจ ไม่พูดวาจาที่เพ้อเจ้อไร้ประโยชน์

    แล้วยังต้องไปเน้นในเรื่องของใจ ก็คือไม่โลภอยากได้จนเกินพอดี ต้องการอะไรให้หามาโดยถูกต้องตามศีลตามธรรม ไม่อาฆาตพยาบาทใคร โกรธได้ แต่ว่าไม่ผูกโกรธ และท้ายที่สุด มีความเห็นตรงว่าสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนมานั้นเป็นสิ่งดี เราควรที่จะยึดถือและปฏิบัติตาม

    เมื่อสามารถปฏิบัติในกรรมบถ ๑๐ ได้โดยไม่หนักใจแล้ว ก็ขยับขึ้นไปรักษาศีล ๘ ซึ่งเป็นศีลพรหมจรรย์ ก็คือการอยู่คนเดียว ละเว้นจากการครองคู่ พูดง่าย ๆ ว่ากำลังใจถ้ามาถึงระดับนี้ การที่จะยึดมั่นถือมั่นในตัวตนก็มีน้อยแล้ว

    ดังนั้น..การที่จะไปยึดมั่นถือมั่นในร่างกายคนอื่น ก็ยิ่งน้อยลงไปอีก จึงกลายเป็นบุคคลที่นิยมการอยู่คนเดียว ขัดเกลากาย วาจา ใจ ของตน ด้วยศีลระดับละเอียด ก็คือเว้นจากการรับประทานอาหารในเวลาวิกาล เพื่อที่กำลังใจไม่ต้องไปกังวลกับสิ่งทั้งหลายเหล่านี้

    ละเว้นจากการประดับตกแต่งร่างกายด้วยของหอม เครื่องย้อม เครื่องทา เพื่อที่จะได้ระงับกิเลสภายนอก ไม่ให้เข้ามาสู่ใจของเรา เพราะเห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าร่างกายนี้มีแต่ความสกปรก ไม่มีแก่นสารอะไร ต่อให้เพียรพยายามประดับตกแต่งไปเท่าไร ก็จะแสดงออกซึ่งความสกปรกของตนออกมาเสมอ แค่พยายามรักษาความสะอาด เพื่อที่จะเข้าสังคมได้เท่านั้น ไม่จำเป็นที่จะต้องไปแสดงความสวยความงามอวดใครอีกแล้ว
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,254
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,701
    ค่าพลัง:
    +26,558
    และท้ายที่สุด เมื่อมองเห็นอย่างชัดเจนว่าสภาพร่างกายนี้สกปรกโสโครก น่าเบื่อหน่าย จิตใจก็ถอนการยึดการเกาะออกมา ทำให้ท่านทั้งหลายสามารถที่จะยกกำลังใจของตนเองขึ้นเหนือโลก

    ถ้ายกขึ้นไปได้น้อย ท่านก็เป็นพระอริยเจ้าในเบื้องต้น ถ้ายกขึ้นได้ปานกลาง ท่านก็เป็นพระอริยเจ้าในระดับกลาง ถ้าสามารถปล่อยวางได้ทั้งสิ้น ท่านก็จะเป็นพระอริยเจ้าระดับสูงสุด สามารถหลุดพ้นจากกองทุกข์เข้าสู่พระนิพพานได้

    ดังนั้น..ภัยธรรมชาติทั้งหลายที่ทำให้ท่านหวาดกลัว เมื่อมาถึงตรงนี้ ทุกอย่างก็เป็นปกติธรรมดา ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราหวั่นไหวได้อีก ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้อีก บุคคลที่ไม่หวั่นไหวต่อสิ่งต่าง ๆ ที่เข้ามาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่มีความทุกข์ใด ๆ ที่จะเบียดเบียนตนเองให้สะดุ้งหวาดกลัวได้นั้น จะมีความสุขขนาดไหน ? ก็ขอให้ท่านทั้งหลายพยายามทำให้ถึง แล้วท่านก็จะเข้าใจเองว่า อริยมรรคมีองค์ ๘ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีคุณค่าเลิศล้นในสามโลกเป็นประการใด

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันอาทิตย์ที่ ๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...