เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 16 เมษายน 2025 at 21:12.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,469
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +26,577
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๑๖ เมษายน ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,469
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +26,577
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๑๖ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘ ทางจันทรคติเป็นวันเถลิงศก ไม่ใช่วันหวยออก..! ส่วนใหญ่พวกเรามักจะไปจำอะไรที่ไม่ค่อยจะดีกัน

    โครงการบวชเนกขัมมะปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ รุ่นที่ ๒/๒๕๖๘ ของเราก็จบสิ้นลง บรรดาญาติโยมที่เดินทางกลับบ้านเรือน กลับที่พัก อาจจะไปยังไม่ถึงก็ได้ เมื่อวานนี้ไอ้ตัวเล็กส่งข่าวมา ออกจากวัดท่าขนุนประมาณบ่าย ๒ โมงถึงที่พักแถวราชเทวีเที่ยงคืนกว่า อย่างที่กระผม/อาตภาพบอกแล้วว่า "ให้กินนอนอยู่กับวัด รอให้ค่ำก่อนแล้วค่อยไปจะถึงเร็วกว่า" แต่ไม่ค่อยจะมีคนฟังกัน

    วันนี้มา "เล่าความหลัง" กันต่อ คือในตอนสมัยเด็กนั้น ไม่ค่อยที่จะรับรู้ว่าอะไรเป็นความยากความลำบาก แล้วในขณะเดียวกัน ก็ไม่รับรู้ว่าอะไรคือศีล คือธรรม ช่วงเด็กนั้นมีอยู่สองช่วงที่เกิดทุพภิกขภัย ข้าวยากหมากแพง ซึ่งตอนนั้นไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ? หลังจากครั้งแรกไปแล้ว ก็เริ่มรู้จักสังเกตว่า ถ้าตอนไหนที่แม่หุงข้าวแล้วมีการหั่นฟักทอง มันเทศ หรือว่าใส่ข้าวโพดลงไปด้วย ก็แปลว่ากำลังเกิดเหตุข้าวยากหมากแพงขึ้นแล้ว..!

    แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก ไม่รับรู้ความยากลำบากของผู้ใหญ่ จึงงอแงตามปกติ ท้ายสุดก็หากินเอง ก็คือ ยิงนก ตกปลา ล่าสัตว์ ต้องบอกว่าสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้นับไม่ถ้วน แล้วก็เป็นคนที่ทำกรรมได้ขึ้นมาก คือถึงเวลาผู้ใหญ่เขาจะแย่งที่ดี ๆ สำหรับนั่งตกปลาไปหมด

    กระผม/อาตภาพเมื่อไม่มีที่นั่งก็ประชดชีวิต ถือเบ็ดลุยน้ำลงไปเกือบถึงหน้าอก ไปตกปลาอยู่ตรงกลางน้ำโน่น แล้วดันได้ปลาอีกด้วย..! อะไรจะสร้างเวรสร้างกรรมได้ขึ้นขนาดนั้น ? แต่ยังดีที่ว่าส่วนใหญ่จะยิงนก ตกปลา ล่าสัตว์อะไรมาก็ตาม จะเอามาเป็นอาหาร ต้องบอกว่าทำด้วยความจำเป็นในการดำรงชีวิตมากกว่า เพราะว่าพี่น้องมาก ข้าวปลาอาหารไม่พอที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกัน จึงต้องหาทางออกแบบนั้น

    จนกระทั่งช่วงที่มาทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ แล้ว ก็ยังมีอยู่ช่วงหนึ่งที่เกิดข้าวยากหมากแพงแบบนี้ ทางรัฐบาลต้องเอาข้าวเหนียว ๓๐ เปอร์เซ็นต์ผสมกับข้าวเจ้า เพื่อที่จะมาแบ่งสันปันส่วนขายให้กับชาวบ้าน เขาเรียกว่า "ข้าวโอชา" หุงแล้วเหนียวหนับ ขว้างใส่ข้างฝาก็ติดเป็นก้อนอยู่อย่างนั้นแหละ..! ไม่ไปไหนหรอก

    แต่ละบ้านมีคนกี่คน ? เขาจะคิดคำนวณว่าจะใช้ข้าวเท่าไร ? แล้วขายให้เท่านั้น ทุกบ้านต้องมี "บัตรปันส่วน" ไม่อย่างนั้นจะซื้อข้าวไม่ได้
    ท่านทั้งหลายอาจจะไม่เชื่อว่าช่วงประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๐ แล้ว บ้านเรายังเกิดข้าวยากหมากแพงแบบนั้น แล้วสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน พ.ศ. ๒๕๖๘ จะเริ่มเข้าสู่สภาพแบบนั้นแล้ว..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,469
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +26,577
    ย้อนกลับไปใหม่ว่า ในเมื่อสร้างเวรสร้างกรรมเอาไว้มาก แต่ก็เป็นเรื่องแปลกอยู่ว่า เป็นเด็กที่เห็นผีมาตั้งแต่เด็ก น่าจะเป็น "ของเก่า" ตามมา แล้วไม่ใช่แต่กระผม/อาตภาพคนเดียวที่เห็นผีแบบนี้ พระน้องชายก็คือพระครูธรรมธรแสงชัย กนฺตสีโล ก็เห็นด้วย ก็คือพอถึงเวลากลางดึก กระผม/อาตภาพก็ต้องตื่น เพราะเสียงน้องชายร้องไห้จ้าอยู่คนเดียว..!

    ปรากฏว่าพลิกตัวไปหาไม่เห็นน้องชาย เพราะว่าไอ้ที่นอนอยู่กลางเตียงตัวเท่าตึก..! เหมือนอย่างกับนักมวยปล้ำ ประมาณอังเดร เดอะ ไจแอนท์ หรือไม่ก็เดอะร็อคในปัจจุบันนี้ นุ่งผ้าหยักรั้งสีแดง มีผ้าแดงคาดหัวด้วย นอนยิ้มฟันขาวจั๊วะอยู่ตรงกลาง..! คราวนี้ทำอย่างไร ? ก็แหกปากร้องไห้แข่งกับน้องชาย เพราะว่าตกใจ..!

    ปรากฏว่าพอผู้ใหญ่มาถึง ไอ้เจ้านั่นหายวับไปเลย..! สรุปก็คือไม่มือก็ไม้จะมาถึง เพราะว่ากลายเป็นเด็กที่ร้องไห้โดยไม่มีเหตุไม่มีผล จึงโดนตีทุกวัน ไอ้ห่..นั่นก็มาได้ทุกวัน..! มารู้ทีหลังตอนโตแล้วว่า เขามาช่วยดูแลความปลอดภัยให้ "แล้วมึงจะมาให้หล่อกว่านั้นไม่ได้หรืออย่างไร ?" ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็ต้องเจอ

    ด้วยความที่เป็นเด็กซน หากินเองอะไรเอง ถึงเวลาก็ปีนต้นมะขาม ไม่ว่าจะมะขามเทศ มะขามส้ม หรือว่าต้นฝรั่ง ไอ้เจ้านั่นก็อุตส่าห์ไปนั่งห้อยตีนอยู่ข้างบน..! พอเหลือบไปเห็น พวกเราก็กระโดดลงชนิดไม่กลัวแข้งขาหัก วิ่งกันป่าราบ..! ถ้าหากว่าตอนนี้มาแบบนั้น รับรองว่าไอ้นั่นโดนเตะแน่นอน..! แต่ตอนนั้นกลัว ไม่รู้ว่าเขามาช่วยดูแลความปลอดภัยให้ จึงต้องพึ่งพระ พอโดนผีหลอกบ่อย ๆ ก็ไปวัด สองคนกับน้องชายไปกราบหลวงตา

    หลวงตาที่วัดข้างบ้านท่านชื่อหลวงตาแหวน ตอนหลังท่านได้เป็นเจ้าอาวาส คือ พระอธิการแหวน โกสโล ไปขอพระ เพราะว่าตอนทำพิธีเสกนี่เห็นความศักดิ์สิทธิ์มากับตา หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอมท่านเป็นประธานในการเสก เขาจะทำเวทีด้วยการเอาถังยางมะตอย ๒๐๐ ลิตร สำหรับสร้างถนน มาคว่ำลงเรียงแถวไว้ แล้วเอาไม้กระดานพาดอยู่ข้างบนกลายเป็นเวที พระเถระก็จะมีอาสนะเรียงกันอยู่ ๘ รูป แต่ละรูปจะมีบาตรน้ำมนต์อยู่ตรงหน้า

    พอหลวงพ่อเงินนั่งลงหลับตาเท่านั้น บาตรน้ำมนต์ใบใหญ่ ๆ ดิ้นได้เลย เห็นอยู่ต่อหน้าต่อตา จนกระทั่งน้ำมนต์กระฉอกหกไปเป็นครึ่งเป็นค่อน ผู้ใหญ่ก็ผลักหลัง "มุดเข้าไปดูสิ มีใครเอาเชือกผูกแล้วดึงหรือเปล่า ?" เข้าไปก็ไม่เห็นอะไร ร่องกระดานก็กว้างชนิดมือลอดได้ ไหน ๆ เข้าไปแล้ว ก็เอาหัวรองน้ำมนต์ไปด้วยเลย..! จึงไปขอพระเครื่องจากหลวงตาแหวน ซึ่งเป็นตาของเพื่อนด้วยกัน เป็นคู่แข่งในการเรียน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,469
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +26,577
    กระผม/อาตภาพมีเพื่อนเป็นคู่แข่งในการเรียนทุกปี ช่วงประถมปีที่ ๑ ถึงประถมปีที่ ๒ คือนางสาวเสวียน ขำซ้าย เหตุที่ว่าเป็นนางสาว เพราะว่าตกชั้นบ่อย อายุ ๑๗ - ๑๘ ปีแล้ว พอจบชั้นประถมปีที่ ๒ นางสาวเสวียนลาออกไปแต่งงาน..!

    ปรากฏว่าหลานหลวงตาแหวนย้ายมา ชื่อ เด็กหญิงขวัญตา อ่ำเย็น เป็นคู่แข่งต่อมาอีก จนกระทั่งจบชั้นประถมปีที่ ๔ ย้ายไปเข้าโรงเรียนประถมฐานบินกำแพงแสน ชั้นประถมปีที่ ๕ คราวนี้ก็จะมีเด็กปักษ์ใต้ มีเด็กอีสานมาเป็นคู่แข่ง มีเด็กหญิงนันทวัน กันตะศรี เด็กหญิงวไลยพร รูปเล็ก พอขึ้นชั้นมัธยม เริ่มเป็นนายเป็นนางสาวกันแล้ว ก็มีนางสาวสุนันทา พิณสุวรรณ เป็นต้น

    ไปขอพระจากหลวงตา ท่านก็ให้มาคนละ ๑ องค์ บอกว่าให้สวดมนต์ไว้ทุกวัน ท่านทั้งหลายจะเห็นว่าการแจกพระเครื่อง ที่สมัยนี้เขาว่ากันว่าเป็นเรื่องของเดรัจฉานวิชา ตั้งแต่โบร่ำโบราณมาท่านเอาไว้เป็นอนุสติ คือเครื่องระลึกถึง แล้วก็เป็นเครื่องนำให้เราสร้างความดี อย่างเช่นว่า มีการสวดมนต์ไหว้พระ ปล่อยให้ไอ้พวกสิ้นสติเขาว่ากันไป แล้วพระเครื่องก็ขลังมาก ตั้งแต่มีพระติดตัวเอาไว้ ไอ้ตัวนั้นก็ไม่โผล่มาอีก ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเห็นว่ามีพระรักษาแทนแล้วหรืออย่างไร ? ก็เลยถือโอกาสอู้ ไม่มาอีกเลย..!

    พอเริ่มเรียนชั้นประถมปีที่ ๕ โยมพ่อที่ทำงานหนักมาตลอดชีวิต ป่วยหนักจนทำงานไม่ได้ อาการป่วยอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นสมัยนี้น่าจะเรียกว่า "โรคพาร์กินสัน" เพราะว่ามือท่านจะสั่นอยู่ตลอดเวลา แต่ไม่ใช่สั่นเฉย ๆ จะมีอาการกล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ทำให้ปวดระบม ต้องนวดให้คลายอยู่ทุก ๆ ๓ นาที ๕ นาที

    ตอนนั้นพี่ชายคนโตแต่งงานแล้ว ช่วงกลางวันก็มีพี่ชายกับพี่สะใภ้คอยดูแล แต่ตอนกลางคืนเป็นหน้าที่ของกระผม/อาตภาพ แล้วคิดดูว่าเด็กเรียนชั้นประถมปีที่ ๕ กำลังกินกำลังนอน แล้วโดนเรียกทั้งคืน เพราะว่าถึงเวลากล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ท่านจะปวดไปทั้งตัว ท่านก็เรียกเพื่อให้ช่วยนวดให้คลายด้วย เพิ่งจะนวดไป ยังไม่ทันจะรู้สึกรู้สาเลยว่านวดเสร็จ ก็เรียกซ้ำอีกแล้ว จึงไม่ต้องหลับไม่ต้องนอนกันทั้งคืน..!

    บางทีทนง่วงไม่ไหว ได้ยินเสียงพ่อเรียก แต่เหมือนกับเสียงดังมาจากสุดขอบโลกโน่น..! พยายามตั้งสติว่า "นี่พ่อเรียก เราต้องตื่น" ปรากฏว่าบังคับร่างกายไม่ได้ เพราะว่าเข้าลึกเกินไป จนกระทั่งได้ยินเสียงผลักประตูเข้ามา ก็รู้ว่าไม่แม่ก็จะต้องมีพี่มา จึงได้สติลุกขึ้นมา ไม้มาอีกแล้ว..! พร้อมกับเสียงด่าว่า "พ่อเรียกอยู่ตั้งนานตั้งเน..มึงไม่ลุก พอกูเข้ามาละลุกเชียว..!" ตอนนั้นรู้สึกว่าเหมือนกับตกนรกทั้งเป็น..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    21,469
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,718
    ค่าพลัง:
    +26,577
    พอไปโรงเรียนทำอย่างไร ? ไม่ได้นอนทั้งคืน ก็ยกมือขออนุญาตคุณครู "ขอนอนครับ ผมไม่ไหวแล้ว" ครูสมัยนั้นดีมาก ท่านจะรู้สภาพครอบครัวของศิษย์ทุกครอบครัว มีการไปเยี่ยมบ้านเป็นปกติ ไอ้ที่เห็นครูเยี่ยมบ้านสมัยนี้นี่โบราณสุด ๆ เขาทำกันมาตั้งแต่ยุคโน้นแล้ว..! และครูสมัยโน้นไม่ได้ไปเยี่ยมบ้านวันราชการ ท่านไปเยี่ยมบ้านวันโกน - วันพระ ที่หยุดเรียน หรือว่าวันเสาร์ - วันอาทิตย์ ที่หยุดเรียน พูดง่าย ๆ ว่าเดินรอบหมู่บ้านนั่นแหละ

    คุณครูก็บอกว่า "อนุญาตให้นอนได้ แต่วิชาของฉันห้ามตกนะ..!" ก็เลยทำให้กระผม/อาตภาพ
    ต้องพยายามฝืนตัวเองว่า ถึงจะหลับแต่หูต้องได้ยิน เพราะว่าเป็นคนความจำดี ถ้าได้ยินอะไรแล้วจะจำได้ จึงใช้วิธีนั้นเรียนหนังสือมาโดยตลอด ไม่รู้ว่าเป็นการฝึกกรรมฐานระดับสูงเลย ก็คือ ถึงในระดับที่หลับกับตื่นต้องมีสติรู้เท่ากัน แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้คิดว่าเป็นกรรมฐาน คิดอยู่อย่างเดียวว่าเราจะสอบตกไม่ได้ เพราะว่าพ่อแม่ไม่ได้มีคำสอนอะไรมาก แค่บอกว่า "พ่อแม่ไม่รู้หนังสือ ทำอะไรก็เสียเปรียบเขา เพราะฉะนั้น..พวกแกต้องเรียน..!"

    แล้วสิ่งที่จะทำให้พ่อแม่ชื่นใจก็คือการเรียนเก่งกว่าลูกบ้านอื่น กระผม/อาตภาพจึงคว้าที่ ๑ มาตลอด ไม่เคยแบ่งปันให้กับบ้านไหนเลย แล้วก็เป็นเรื่องอัศจรรย์ว่า มีแต่เพื่อนผู้หญิงเท่านั้นที่ผลการเรียนใกล้เคียงกัน เพื่อนผู้ชายไม่มีเลย ยิ่งมาในระดับมัธยมที่เป็นวัยรุ่นแล้ว เพื่อนผู้ชายมักจะรูดไปอยู่ท้าย ๆ โน่น มีแต่เพื่อนผู้หญิง ๕ คน ๖ คน ที่เกาะกลุ่มไล่กวดกันมา แพ้ชนะกันแค่จุดเท่านั้น บางทีมีที่ ๑ ทีหนึ่ง ๕ คน ๖ คน ที่ ๒ ที่แพ้กันแค่ ๐.๒ - ๐.๓ คะแนน หล่นไปอยู่ที่ ๗ ที่ ๘ โน่น..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งเดียวที่ทำให้พ่อแม่ดีใจและชื่นใจได้ก็คือเรียนเก่ง จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องเรียนให้เก่งเข้าไว้ แล้วก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่ตัวเองทำนั่นคือการฝึกกรรมฐานอย่างหนึ่ง ถ้าใครอยากจะฝึกกรรมฐานแบบนี้ ก็ลองไปนอนเฝ้าพ่อเฝ้าแม่ทั้งคืนทั้งวันดูบ้างก็ได้ ไอ้ที่ใช้คำว่าทั้งคืนทั้งวันก็เพราะว่า กลางคืนไม่ได้นอน กลางวันต้องเรียนหนังสือ เผื่อว่ากรรมฐานของพวกเราจะก้าวหน้าขึ้นมาบ้าง ดูท่าต้องรอฟังต่อวันพรุ่งนี้อีกแล้ว

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๑๕ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...