เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 3 กุมภาพันธ์ 2025 at 20:49.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,408
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,622
    ค่าพลัง:
    +26,479
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,408
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,622
    ค่าพลัง:
    +26,479
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ เดี๋ยวบันทึกเสียงเสร็จแล้ว กระผม/อาตมภาพต้องขอตัวไปฉันยาแล้วก็ไปพักก่อน เพราะว่าอากาศต่างกันสุดขั้ว กลับมาถึงมาลาเรียก็กำเริบเลย..!

    เรื่องของโรคภัยไข้เจ็บจะสัมพันธ์กับดินฟ้าอากาศ ดังนั้น..ในช่วงเปลี่ยนฤดู คนป่วยหรือว่าคนแก่มักจะทนอากาศไม่ไหว แล้วก็ตายกันเป็นว่าเล่น เราจะเห็นว่าช่วงปลายฝนต้นหนาวที่ผ่านมา แค่ทองผาภูมิของเราก็ล่วงลับกันไปแล้วหลายต่อหลายคน ในคณะสงฆ์ของเรา พระเถระอาวุโสก็มรณภาพไปหลายรูป..!

    ดังนั้น..ในส่วนที่เราจำเป็นอย่างยิ่งเลยก็คือ ต้องตระหนักว่าชีวิตเป็นของไม่แน่นอน เนื่องเพราะว่าสภาพจิตของเรามีสภาพไหลลงต่ำอยู่ตลอดเวลา ถ้ามัวแต่ไปประมาทอยู่ ปุบปับถึงแก่ชีวิตลงไป เราจะเสียชาติเกิด เพราะว่าโอกาสที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์นั้นยากถึงที่สุด ถ้าจากที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัส และพระอรรถกถาจารย์ท่านเปรียบเอาไว้แล้ว พูดง่าย ๆ ว่าโอกาสน่าจะประมาณ ๑ ในหมื่นล้านเป็นอย่างน้อย..!

    การเกิดเป็นมนุษย์นั้น โอกาสในการสร้างบุญสร้างกุศลของเราถือว่าเหมาะสมที่สุด เนื่องเพราะว่าต่ำลงไปกว่านั้น โอกาสที่จะสร้างบุญกุศลก็แทบจะไม่มี หรือว่าไม่มีโอกาสเลย สูงขึ้นไปก็โดนจำกัดด้วยกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ถ้าไม่ได้อยู่ในขอบเขตตนเองรับผิดชอบ ก็ไม่สามารถที่จะไปสร้างบุญสร้างกุศลได้ ในเมื่อเราโชคดี ได้ชาติกำเนิดเกิดเป็นมนุษย์ มีโอกาสที่จะพัฒนาตนเองตั้งแต่ระดับต่ำ จนถึงระดับสูงสุด แล้วเราไปทิ้งโอกาสเพราะความขี้เกียจ ไม่เอาจริงเอาจัง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง..!

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า ระยะหลังกระผม/อาตมภาพไม่ไปเคี่ยวเข็ญใครเลย พูดง่าย ๆ ก็คือ
    "ใครอยากได้ดีก็ตะเกียกตะกายหากันเอาเอง" แม้กระทั่งตอนที่ยังอยู่ที่วัดท่าซุง กระผม/อาตมภาพก็ไม่เคยคิดว่าพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านจะอยู่ได้เกินวันนี้ จึงทุ่มเทกับการปฏิบัติชนิดที่เอาชีวิตเข้าแลก แล้วก็มีเพื่อนที่ถือการปฏิบัติคล้ายคลึงกันอยู่แค่ไม่กี่รูป ดังนั้น..ถ้าหากว่ามาที่วัดท่าขนุนนี้ แล้วมีคนไม่สนใจในเรื่องของการปฏิบัติธรรม ไปเน้นในเรื่องอื่นแทน กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ว่าอะไร เนื่องเพราะว่าสุคติหรือทุคติเป็นสิ่งที่เราเลือกด้วยตนเอง
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,408
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,622
    ค่าพลัง:
    +26,479
    โดยเฉพาะในสภาพของนักบวช แม้ว่าโอกาสกำไรมีสูงมาก แต่โอกาสที่จะขาดทุนมีมากกว่า เพราะว่าเราอยู่ในสถานะของปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านเขาเคารพบูชา เขาหวังพึ่งพา หวังเป็นเนื้อนาบุญ ถ้าเราทำตัวไม่สมกับสถานภาพของตนเอง ก็ถือว่าเราทำโทษตนเอง ก็คือมีแต่จะพาตนเองตกต่ำลงไปเรื่อย..!

    เราต้องระลึกอยู่เสมอว่า วันแรกที่บวชเข้ามาตั้งใจไว้อย่างไร โดยเฉพาะคำกล่าวปฏิญาณที่ว่า นิพพานัสสะ สัจฉิกะระณัตถายะ เอตัง กาสาวัง คะเหตวา ข้าพเจ้าขอรับเอาผ้ากาสาวพัสตร์นี้มา เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน อย่าทำตัวเป็นคนลืมง่าย แล้วอย่าทำตัวคุ้นชินง่าย การที่เราทำตัวคุ้นชินกับวัดวาอาราม กับเพศของสมณะซึ่งเป็นเพศที่อันตราย แล้วทำตัวถึงก็ช่าง ไม่ถึงก็ช่าง โอกาสที่เราจะรอดจากอบายภูมิก็มีน้อยสุด ๆ..!

    ความจริงกระผม/อาตมภาพอยากให้ทุกท่านไปเห็นนรกด้วยตนเอง จะได้รู้ว่านักบวชของเราลงไปมากมายมหาศาลขนาดไหน ก็มากจนขนาดที่ว่าเมื่ออายุครบ ๒๐ แล้ว โยมแม่ขอร้องให้บวช กระผม/อาตมภาพปฏิเสธมาโดยตลอด ไม่กล้าที่จะบวชให้ท่าน เพราะกลัวว่าจะมีสภาพเดียวกัน จนกระทั่งอายุ ๒๗ ปีแล้ว พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านขอให้บวชให้ท่านเพื่อแก้บน ก็ยังกราบเรียนท่านว่า "ขอแค่ ๗ วันเท่านั้น" เพราะเกรงว่าตนเองจะรักษาความดีเอาไว้ได้ไม่เกิน ๗ วัน..!

    แต่ที่อยู่มาถึงทุกวันนี้ก็เพราะหน้าด้านหน้าทน ไปโดนครูบาอาจารย์ท่านทำให้เข้าใจว่า อารมณ์พระอริยเจ้าที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร เหมือนกับท่านให้กินอาหารอร่อยที่สุดในโลกไปแล้ว จึงเกิดความมานะขึ้นมาว่า เราจะไปมัวกินอาหารของคนอื่นไม่ได้ เพราะว่าไม่มีใครมาเลี้ยงเราอยู่ตลอดเวลา เราต้องพากเพียรทำอาหารนี้เองให้ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ทุกวันนี้ที่ยืนหยัดอยู่ได้ ต้องบอกว่าด้วยความมานะแท้ ๆ ก็คือถ้าทำไม่ได้ก็จะไม่เลิก..!

    ฉะนั้น..เรื่องพวกนี้ เราเองนอกจากต้องระมัดระวังแล้ว ต้องเข้าใจว่าเราอยู่ในสายตาชาวบ้านโดยตลอด ยิ่งอายุกาลพรรษามากขึ้น อันดับแรกเลย รุ่นน้องจะมองรุ่นพี่ อันดับต่อไป ญาติโยมที่รู้จักมักคุ้นมีมากขึ้นไปเรื่อย ๆ ท่านทั้งหลายเหล่านี้ ส่วนใหญ่เคยสร้างบุญร่วมกันมาก่อน เขาก็จะเชื่อถือ ให้ความเคารพ เชื่อฟังและปฏิบัติตาม จึงกลายเป็นว่าสิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ มีอิทธิพลต่อคนอื่นมากขึ้น
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,408
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,622
    ค่าพลัง:
    +26,479
    ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายศึกษาในกัลยาณมิตรธรรม ๗ ประการ จะเห็นว่าประการสุดท้ายก็คือ โน จัฏฐาเน นิโยชะเย ต้องไม่ชักนำผู้อื่นไปในทางเสียหาย ก็แปลว่าไม่ว่าเราจะคิด จะพูด จะทำอะไร ต้องคิดอยู่เสมอว่า มีบุคคลที่เขาเลียนแบบและทำตาม ถ้าเราพาเขาหลงออกนอกทาง ก็เท่ากับว่าไปสร้างทุกข์สร้างโทษอย่างมหันต์ให้กับพวกเขา

    เนื่องเพราะว่าถ้าลงอบายภูมิ โอกาสที่จะกลับขึ้นมานั้นมีน้อยมาก บางทีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ผ่านไปแล้วหลายพระองค์ เรายังไม่มีโอกาสกลับขึ้นมาเลย แล้วถึงกลับขึ้นมาก็ไม่แน่ว่าจะได้เป็นมนุษย์อีก เพราะว่าเศษกรรมก็จะทำให้เราต้องไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน ตามจำนวนที่เราฆ่าเอาไว้ แล้วถ้าในช่วงนั้นสร้างกรรมหนักเอาไว้โดยไม่เจตนา ก็อาจจะกลับลงต่ำกว่านั้นอีก กลายเป็นว่า
    เราทำให้ผู้อื่นเสียโอกาส สูญเสียเวลาไปนับชาติไม่ถ้วน..!

    ดังนั้น..สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราพูด สิ่งที่เราทำ ถ้าคนนำไปปฏิบัติแล้วผิดทาง โทษหนักจึงเกิดกับเรา ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าเป็นนักบวชก็มีอเวจีมหานรกเป็นที่ไป เราท่านทั้งหลายจึงนอกจากต้องปฏิบัติเพื่อตนเองแล้ว ยังต้องปฏิบัติเพื่อผู้อื่น บุคคลที่มีบุญสัมพันธ์ กรรมสัมพันธ์ จะเข้ามาในชีวิตของเรามากขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามระยะเวลา ก็แปลว่าเราต้องแบกภาระมากขึ้นไปทุกที

    โดยเฉพาะพระภิกษุของเรา ยิ่งแก่คนก็ยิ่งเชื่อถือ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น ภาระของเราที่มากขึ้น ๆ ถ้าภาระทางใจของเราไม่หมด โอกาสที่เราจะแบกรับไม่ไหวจะมีสูงมาก ดังนั้น..จะเห็นว่าบางทีพระภิกษุของเราอายุกาลพรรษามากแล้ว ก็ยังสึกหาลาเพศไป ถ้าหากว่าอย่างที่กระผม/อาตมภาพคุ้นเคยก็ "อดีตหลวงน้ามีชัย สุนฺทโร" สึกไปตอนอายุ ๗๒ ปี..! แล้วคิดดูว่าถ้า ๗๒ ปี เราจะไปทำมาหากินอะไร ?
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,408
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,622
    ค่าพลัง:
    +26,479
    ดังนั้น..การบวชเข้ามาโอกาสที่จะอยู่กึ่งกลาง พอดิบพอดี ไม่ลงอบายภูมิหรือไม่ขึ้นข้างบน จึงเป็นเรื่องที่ยากมาก เป็นเรื่องของการเสี่ยงสุด ๆ ว่าจะลงข้างล่างเกิน ๘๐ - ๙๐ เปอร์เซ็นต์ มีโอกาสขึ้นข้างบนแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ ดีไม่ดีจะไม่ถึง ๑ เปอร์เซ็นต์เอาด้วย..!

    ในเมื่อเป็นเช่นนั้น
    เราจะไปหวังว่าทำดีแค่นี้ มีโอกาสได้เกิดเป็นมนุษย์ แล้วมาสร้างบุญสร้างกุศลต่อนั้นไม่ต้องหวัง ไปอยู่ข้างบน เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม โอกาสสร้างกุศลก็น้อยกว่ามนุษย์ ถ้าลงข้างล่างก็เป็นอันว่าตัดโอกาสตนเองไปยาวนานจนนับไม่ได้

    จึงไม่ใช่เรื่องที่ท่านทั้งหลายจะมาเอ้อระเหยลอยชาย ทำอย่างไรก็ได้ให้ผ่านไปวัน ๆ หากแต่ว่าเป็นการที่ต้องทุ่มเทด้วยชีวิต เพื่อที่จะทำให้เราไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถ้าถึงที่สุดของทุกข์ได้ก็ยิ่งดี ถ้ายังไม่ถึงที่สุดของทุกข์ ก็ขอให้ชาติในการเวียนว่ายตายเกิดของเรา เหลือให้น้อยที่สุด เพราะว่าเกิดมากี่ชาติ เราก็ทุกข์เท่านั้น

    ดังนั้น..
    การบวชจึงไม่ใช่เรื่องที่จะมาเล่นสนุก ไม่ใช่เรื่องที่จะมาปล่อยปละละเลย ประมาณว่าทำอย่างไรก็ได้ แต่ต้องทุ่มเทสร้างบุญสร้างกุศล ไม่ว่าจะเป็นทาน เป็นศีล เป็นภาวนา ให้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ประจำอยู่ในกาย ในวาจา ในใจของเราให้เป็นปกติ

    ไม่เช่นนั้นแล้วหลายท่านก็มีประสบการณ์ว่า
    ครูบาอาจารย์ล่วงลับไปองค์แล้วองค์เล่า รูปแล้วรูปเล่า แล้วเราก็เอาดีไม่ได้สักที ถ้าหากว่าอยู่ในลักษณะนั้น อยากจะใช้คำพูดประมาณที่คนโบราณเคยกล่าวเอาไว้ว่า "แม้แต่พระพุทธเจ้าก็ยังโปรดไม่ได้..!"

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๓ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...