นางพญางิ้วดำวัดใหม่บ้านดอนปี๑๗ ลพ.มุมปราสาทเยอร์ปลุกเสก

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,326
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751360224029.jpg
    ครั้งหนึ่งหลวงพ่อมหาวิบูลย์ได้ทำการจารพระอยู่ในห้องส่วนตัวด้านใน ในขณะนั้นก็มีลูกศิษย์เป็นนายทหารมากราบท่าน และนั่งรออยู่ด้านนอกห้องซักพักก็มีเสียง ดัง แก๊ก เหมือนเสียงเหรียหล่น
    ลงมากระทบพื้น คนที่นั่งรอก็หันไปมองตามเสียงปรากฏว่าเป็นเหรียญหันข้างรุ่นแรกของท่านกำลังกลิ้งอยู่ที่พื้นหน้าห้อง โดยที่ห้องนั้นก็ยัง
    ปิดสนิทเหมือนเดิม เมื่อเห็นดังนั้นเค้าจึงคว้าเหรียญดังกล่าว เก็บโดยไว เพราะคิดว่าเทวดาให้ศิษย์ทหารคนดังกล่าวเก็บเรื่องนี้มาเงียบๆจนวันหนึ่งได้กราบหลวงพ่อสุจินต์ที่เป็นศิษย์หลวงพ่อมหาวิบูลย์ศิษย์ทหารจึงได้เล่าเรื่องนี้ให้หลวงพ่อสุจินต์ฟัง
    เมื่อหลวงพ่อสุจินต์ได้ฟังจึงไปสอบถามกับหลวงพ่อมหาวิบูลย์ หลวงพ่อมหาวิบูลย์จึงบอกว่า ในตอนนั้นกำลัง ลงจารวัตถุมงคลด้วยวิชา นะปัดตลอด ซึ่งท่านได้ร่ำเรียนมาจากหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลีเหรียญที่ทะลุจากผนังห้องออกมาอาจจะเป็นผลพลอยได้จากอานุภาพของวิชาที่ท่านกำลังใช้อยู่
    เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ฮือฮามากในหมู่ศิษย์ครับ
    เหรียญแลกชีวิตเมื่อหลายปีก่อนมีโอกาศไปกราบหลวงมหาวิบูลย์ได้ไปฟังธรรมะหลายๆอย่างจากท่านท่านเมตตาเล่าเรื่องต่างๆให้ฟังมากมายทั้งที่เป็นธรรมะ
    และเรื่องตื่นเต้นเร้นลับ (หากมีเวลาจะเอามาเล่าให้ฟัง)
    ในวันนั้นผมได้นำเหรียญพระพุทธสิหิงค์ ปี 2537
    ไปให้ท่านเมตตาอธิษฐานจิตเพิ่มให้พร้อมๆกับของเพื่อนๆ
    เมื่อท่านอธิษฐานจิตเสร็จท่านก็หยิบเหรียญนี้ขึ้นมาแล้วบอกว่าเหรียญนี้บางคนก็เรียกว่าเหรียญแลกชีวิตแล้วท่านก็เล่าให้ฟังว่า มีคนในแม่สอดมาเล่าให้ท่านฟังว่ามีชาวกระเหรี่ยงได้รับแจกเหรียญนี้ไปด้วยความศรัทธาท่านจึงนำไปห้อย แล้วเกิดการหักหลังกันในกลุ่มจึงโดนตามล่า หนีไปได้หลายครั้ง สุดท้ายก็ไปไม่รอดถูกจับได้ แล้วเค้าจับเอามือมัดไพล่หลัง เอาจ่อปืนยิงหัวแต่ยิงเท่าไรก็ไม่ได้ สุดท้ายคนยิงก็ล้วงเอาพระออกมาเมื่อเห็นเป็นพระท่านก็ได้สติและบอกกับคนที่ถูกยิงว่าจะให้โอกาศในครั้งนี้แต่จะต้องถอดเหรียญให้เค้า
    เพื่อแลกกับชิวิตในครั้งนี้และต้องหายไปอย่ามาให้เค้าเห็นหน้าอีกจึงเป็นที่มาของชื่อเหรียญแลกชีวิตท่านพระอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระโพธิสัตว์ที่ลาพุทธภูมิและเข้าพระ นิพพานแล้ว ก่อนท่านจะนิพพาน เกศาท่านปลงภายในวันเดี่ยว แปรสภาพพระธาตุ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก และองค์ท่านอมชมพู มีรัศมี เหมือนพระอรหันต์จะนิพพานแล้ว และนิพพานอย่างสงบ ทรงสติสัมชญะสมบูรณ์มาก
    หลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ จ.ตาก เป็นเจ้าอาวาส รูปแรกของวัดโพธิคุณ (วัดห้วยเตย) ต.แม่ปะ อ.แม่สอด จ.ตาก เมื่อ ๑๖ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๑ หลวงพ่อท่านเป็นนักปฏิบัติธรรมที่เคร่งครัด มีระเบียบวินัยและอีกทั้งเป็นนักพัฒนาอีกด้วย ตลอดที่ท่านอยู่กับวัดโพธิคุณ ตั้งแต่เริ่มสร้างวัด โดยไม่ได้เห็นความเหน็ดเหนื่อยใด ๆทั้งสิ้นและยังมีลูกศิษย์อีกมากมายพร้อมใจกันมาร่วมสร้างวัดให้เจริญให้เห็นกันอยู่ทุกวันนี้ ท่านเป็นศิษย์ของพระอาจารย์หลายรูป เช่น - หลวงพ่อมหาปิ่น ชลิโต เจ้าอาวาสวัดอริยวงศาราม จังหวัดราชบุรี ได้ศึกษาธรรมปฏิบัติกรรมฐานในสายหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต - พระธรรมโกศาจารย์ (หลวงพ่อพุทธทาสอินทปญฺโญ) สวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้รับโอวาทจากพระเดชพระคุณท่าน - พระครูพิพัฒน์ธรรมคุณ (หลวงพ่อเตียงเนกขมฺโม) วัดเขารูปช้าง จังหวัดพิจิตร ได้ศึกษาวิทยาคมที่ได้สืบทอดมาจากหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร และศึกษาการทำตะกรุดจากท่าน - หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ วัดดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ได้ศึกษาธรรมะและเข้าถึงสมาธิตลอดทุกอิริยาบถอย่างเคร่งครัด และยังได้ศึกษาจากพระครูสังฆรักษ์ (ชม อนํคโณ) วัดเขานันทาพาสุภาพ จังหวัดปราจีนบุรี) พระครูวิสุทธาจารเณร (เทียม สิริปญฺโญ) วัดกษัตราธิราช จังหวัดอยุธยา และพระโพธิญาณเถร (ชา สภทฺโท) วัดหนองป่าพง จังหวัดอุบลราชธานี , หลวงพ่อพระวิเชียรมุนี อดีตเจ้าอาวาสวัดอินทาราม หลวงพ่อพระวิเชียรมุนี นี้เป็นศิษย์ของหลวงพ่อเจ้าคุณทักษิณคณิสร วัดอินทาราม พระผู้สร้างพระเพชรหลีกเพชรกลับอันโด่งดัง พระ อาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เป็นพระโพธิสัตว์ใหญ่ที่ลาพุทธภูมิและเข้าพระนิพพานแล้ว ในวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ก่อนท่านจะนิพพาน เกศาท่านปลงภายในวันเดี่ยว แปรสภาพพระธาตุ สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ศิษยานุศิษย์เป็นอย่างมาก มีลูกศิษย์หลายท่าน ขออนุญาตสร้างวัตถุมงคลจากหลวงพ่อพระมหาวิบูลย์ แต่จะให้สร้างเฉพาะพระพุทธเท่านั้น และเหรียญพระพุทธ รุ่นแรกของท่าน (เหรียญรัตนรังสี) ก็เป็นที่นิยมและต้องการ ในเหล่าลูกศิษย์ที่เคารพรักท่าน ลพ.ฯจะไม่อนุญาตให้สร้างวัตถุมงคลที่เป็นรูปของท่าน จนกระทั้ง ปี๒๕๓๘ ซึ่ง ลพ.ฯมีอายุครบ ๖๐ปี ท่านได้รับการขอร้องจากลูกศิษย์ ขอสร้างวัตถุมงคล ที่มีรูปของท่าน คือเหรียญ รูปเหมือนรุ่นแรกของท่าน จัดทำโดย กองกษาปณ์ กรมธนารักษ์วัตถุมงคลต่างๆหลายรุ่นของหลวงพ่อ มักจะถูกกำหนดให้ สร้างขึ้นเนื่องในงานพิธีต่างๆ เช่น งานทอดกฐินของวัดโพธิคุณ , เนื่องในงานวันเกิดของหลวงพ่อ ๕ มีนาคม ของทุกปี และในงานสำคัญอื่นๆครับ
    ชาติภูมิ
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ พุทธญาโณ เกิดที่อำเภอโพธิ์ประทับช้าง (โพธิ์ทะเลเดิม) จังหวัดพิจิตร เมื่อวันที่ ๕ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๘ บิดามารดาประกอบอาชีพด้วยการทำนาเช่นชาวนาชนบททั้งหลายในสมัยนั้น
    ท่านมีพี่น้องร่วมอุทร ๔ คน เป็นหญิง ๒ ชาย ๒ ท่านเป็นบุตรคนโต
    อยากบวชมาตั้งแต่เด็ก
    ท่านเปิดเผยว่าไม่ทราบเป็นเพราะเหตุใด ท่านอยากจะบวชเป็นสามเณร เป็นพระภิกษุมาตั้งแต่เด็ก ๆ แต่ขัดที่เป็นลูกชายคนโตถ้าท่านออกบวชทางครอบครัวก็จะไม่มีคนช่วยทำงาน
    ความอยากที่จะบวชนั้น ท่านได้เดินทางไปยังวัดพระศรีมหาธาตุจังหวัดพิษณุโลก เพื่อกราบนมัสการหลวงพ่อพระพุทธชินราช ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่งดงามที่สุดในประเทศไทย โดยท่านบอกว่า
    “ อาตมาได้ไปเห็นพระพุทธชินราชในครั้งนั้นแล้ว เกิดความเลื่อมใสศรัทธามนพระศาสนามากจึงตั้งจิตอธิษฐานว่า ขอให้หลวงพ่อพระพุทธชินราชช่วยให้อาตมาได้บวชเถิด ถ้าบวชแล้วจะไม่สึกตลอดชีวิต ”
    ...อย่างไม่คาดคิด
    ปีที่ท่านจะได้บวชเป็นสามเณร ทั้ง ๆ ที่มีอายุ ๒๐ แล้ว แต่ยังไม่ครบปีดี เพราะท่านเกิดปลายปี มีเหตุอยู่ว่า
    ในปีนั้นท่านไปทำนาอยู่กับโยมผู้ชายของท่าน และในขณะนั้นฝนตกชุก ปลาพล่านไปมา ก็เลยนึกอยากจะทำลอบดักปลาจึงไปเอาไม้ไผ่มาเหลาเป็นซี่ลอบ
    แต่เมื่อท่านกำลังนั่งเหลาซี่ลอบอยู่ดี ๆ นั้น เกิดเป็นตะคริวขึ้นที่มือ ทำให้ไม่สามารถจะเหลาไม้ไผ่ต่อไปได้ ท่านจึงเรียกน้องชายของท่านให้ช่วยมาบีบนวดมือให้
    “ แล้วอาตมาก็หมดความรู้สึกไปตั้งแต่เช้า มารู้สึกตัวอีกครั้งตอนเที่ยงคืน
    โยมแกก็ถามว่า อาตมาไปบนอะไรไว้บ้าง อาตมาก็บอกไปตามความจริง แกเลยพูดขึ้นว่า ถ้าอยากบวชถึงขนาดนี้ก็บวชไป อาตมาก็เลยได้บวชสมกับที่ปรารถนามาช้านาน ”
    แต่การบวชครั้งนั้นเป็นเพียงบรรพชาเป็นสามเณร โดยท่านได้ไปบรรพชาที่วัดไผ่ท่าโพธิ์มี พระครูธรรมาภิรัตน์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    ครั้นบวชเณรได้พรรษาหนึ่งท่านก็เริ่มไปศึกษานักธรรมบาลีที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนากจังหวัดพิจิตร จนใกล้จะสอบก็ต้องสึกเพราะโยมผู้ชายของท่านเกิดเสียชีวิตอย่างปัจจุบันทันด่วน !
    ฝันประหลาด
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ เล่าถึงคืนที่โยมผู้ชายจะเสียชีวิตว่า
    ในคืนนั้นท่านซึ่งกำลังป่วยหนักด้วยไข้รากสาดได้เกิดไข้สูงกว่าทุกวัน ทั้งท้องเดิน ทั้งอาเจียนจนคล้ายจะสลบไป ก็มียมทูตจำนวนสี่นายล้วนนุ่งผ้าแดง ตัวเปล่าเปลือยรูปร่างกำยำสูงใหญ่ จะเข้ามาจับท่าน
    ท่านเห็นท่าไม่สู้จะดีก็ออกวิ่งหนีไปถึงหนองน้ำแห่งหนึ่งจึงกระโดดลงไปซ่อนตัวอยู่ใต้กองผักตบชวา
    ยมทูตตามท่านมาถึงหนองน้ำก็กระโดดลงไปในหนองน้ำนั้น ๓ นาย เหลืออีกนายหนึ่งให้ยืนเฝ้าปากทางไว้ ซึ่งท่านเล่าถึงตอนนี้ว่า
    “ อาตมาคำนวณดูกำลังเห็นว่ายมทูตในน้ำมีถึง ๓ คน เห็นจะสู้ไม่ไหว ก็ตัดสินใจผละจากกองผักตบชวาขึ้นจากหนองน้ำไปสู้กับยมทูตที่เฝ้าปากทาง
    ยมทูตคว้าอาวุธจะมาทำร้ายอาตมาแย่งมาได้ ก็พอดีรู้สึกตัวแล้วก็หายป่วยแต่นั้นมา ”
    ในคืนเดียวกันนั้นเอง โยมผู้ชายของท่านก็ฝันไปว่า เห็นใครก็ไม่ทราบมีจำนวน ๔ คน ไล่จับสามเณรลูกชายของตน แล้วเอาโซ่เหล็กมามัดตัว พลางถามสามเณรว่า “ รับได้ไหม? รับได้ไหม? ”
    ฝ่ายโยมผู้ชายเมื่อเห็นเขาทรมานลูกชายเช่นนั้นก็เกิดความสงสาร ก็เลยหันมาถามลูกของตนว่า
    “ เณรรับเขาได้หรือไม่ได้ก็บอกเขาเถิด ”
    “ ในฝันของโยมผู้ชายนั้นแกบอกว่า อาตมาว่ารับได้
    พอบอกว่ารับได้เท่านั้น ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งโผล่มาจากไหนไม่ทราบ มาจับตัวอาตมาพุ่งลงแม่น้ำไป
    โยมผู้ชายก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก็ปลุกโยมผู้หญิงแล้วเล่าให้ฟังไว้ พอวันรุ่งขึ้นโยมผู้ชายก็เสียเลย !” ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์เล่า
    อุปสมบท
    เมื่อจัดการฌาปนกิจศพบิดาเรียบร้อยแล้ว ท่านก็ช่วยมารดาของท่านเกี่ยวข้าว เพราะในปีนั้นทางบ้านทำนาไว้มากไม่มีกำลังคนจะเกี่ยวข้าวเพียงพอ ครั้นเกี่ยวข้าวเสร็จอายุท่านก็ครบเป็นพระได้
    ตามปกติธรรมดาของชาวชนบทในสมัยนั้น เมื่อบ้านใดจะบวชลูกชาย ก็จำต้องป่าวประกาศเชิญแขกเหรื่อมาในงานทำขวัญนาค และมารดาของท่านอาจารย์วิบูลย์ก็ต้องการที่จะจัดงานเช่นนั้น โดยเตรียมเครื่องอัฐบริขารไว้แล้วจะไปเชิญหมอทำขวัญนาค
    แต่ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้ชิงบอกแก่มารดาของท่านในตอนนั้นเสียก่อนว่า ท่านต้องการบวชเงียบ ๆ และจะไปบวชเองเพียงแต่ขอให้มารดาอนุญาตเท่านั้นมารดาท่านก็นิ่งอั้น
    ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ ก็หอบเครื่องอัฐบริขารไปที่วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก โดยลำฟัง แต่มารดาของท่านได้ตามไปทันในวันรุ่งขึ้น
    ก่อนที่จะบวชในคืนนั้นท่านพักอยู่ที่ศาลา โกนศีรษะเรียบร้อยแล้ว ท่านหลับไปก็ฝันว่า ไปพบบิดาที่หน้าประตูโบสถ์
    ในความฝันนั้นท่านเป็นนาคแล้วโดยนุ่งขาวห่มขาวเป็นอันดี
    ท่านเห็นบิดาของท่านมายืนอยู่เช่นนั้น ก็กล่าวชวนว่า
    “ พ่อเข้าไปในโบสถ์ด้วยกันเถิด ” แต่บิดาไม่ยอมพูดด้วย ท่านก็นึกเสียใจว่าทำไมบิดาไม่ยอมพูดไม่ยอมเข้าไปในโบสถ์ร่วมบวชท่าน
    ในฝันนั้นท่านนึกเสียใจจนร้องไห้ออกมา ครั้นตื่นขึ้นหมอนหนุนศีรษะเปียกน้ำตาไปหมด
    รุ่งขึ้นในวันที่ ๑๕ มีนาคม ๒๔๙๙ ท่านก็อุปสมบท ณ วัดชัยมงคล อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร มี ท่านพระครูวิเศษธัมมวินิษฐ์ เป็นพระอุปัชฌาย์
    มุ่งมั่นบุกบั่นเรียน
    ครั้นท่านอุปสมบทบทเป็นพระนวกะที่วัดชัยมงคลแล้ว ก็เรียนทั้งบาลีและนักธรรมควบคู่กันไป
    ตามธรรมดานั้นพระนวกะจะต้องเรียนถึง ๓ ปี จึงจะสมัครสอบบาลีได้ แต่ท่านอาจารย์วัดชัยมงคลเห็นท่านเรียนเก่ง พอเรียนได้ ๒ ปี ก็ให้ท่านเข้าสอบนักธรรมตรีกับเปรียญ ๓ ผลปรากฏว่าท่านสอบนักธรรมตรีได้ แต่สอบเปรียญ ๓ ตก ท่านเล่าว่า
    “ พอสอบตกอาตมาอายเขาก็หนีมาจำพรรษาที่วัดค้างคาวจังหวัดลพบุรี มาเรียนบาลีที่วัดบัวเรียนได้พรรษาหนึ่ง ก็เข้าสอบนักธรรมโทคู่กับเปรียญ ๓
    ผลออกมาสอบได้นักธรรมโทแต่ตกเปรียญ ๓ อีก อาตมาก็ลงมากรุงเทพฯ มาพำนักอยู่วัดอินทาราม ตลาดพลูนี้ เมื่อปี ๒๕๐๑ ตั้งใจว่าจะเรียนเปรียญให้จงได้ถ้าเรียนไม่ได้ก็ให้ตายหมดเรื่องไป
    จึงพยายามมุมานะดูหนังสือแต่เกิดป่วยเป็นไส้ติ่งอักเสบเสียอีก ต้องเข้าโรงพยาบาลไปผ่าตัดไส้ติ่ง
    หลังจากผ่าตัดแล้วก็มุมานะเรียนบาลี ก็สอบได้เปรียญ ๓
    จากนั้นก็เรียนต่อจนถึงปี ๒๕๐๔ โดยเรียนนักธรรมเอกกับวิชาครูที่กรมฝึกหัดครู ซึ่งสมัยนั้นเขาเปิดรับพระเณรเข้าเรียนได้ ก็สอบได้นักธรรมเอกและวิชาครู จึงเลิกเรียน แล้วไปเรียนพระอภิธรรมที่วัดมหาธาตุฯ ท่าพระจันทร์ ของท่านพระครูประกาศสมาธิคุณ อยู่พรรษาหนึ่ง ”
    ไม่เชื่อก็ต้องลอง
    ผู้เขียนได้นมัสการกราบเรียนถามท่านถึงสาเหตุที่มาปฏิบัติธรรมทั้ง ๆ ที่เป็นพระนักศึกษามาก่อน ท่านอาจารย์มหาวิบูลย์ได้เปิดเผยว่า
    “ สาเหตุที่อาตมามาปฏิบัตินั้น เพราะเคยเข้าใจว่าธรรมะอยู่ที่การเรียน คือการศึกษาเล่าเรียนอาจจะทำให้เข้าใจธรรมะดี
    แต่เรียน ๆ ไปจนได้นักธรรมตรี นักธรรมโท นักธรรมเอก และมหาเปรียญแล้วก็รู้สึกเหมือนเดิมไม่มีความเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใดสุขก็ยังสุข ทุกข์ก็ยังทุกข์จิตใจไม่ดีขึ้น ก็เลยมาค้นหาธรรมะ ว่าธรรมะที่แท้จริงนั้นอยู่ตรงไหน ธรรมะนั้นเป็นอย่างไร
    ตอนนั้นอาตมาเกิดอคติต่อธรรมะ คือแทบไม่เชื่อว่าธรรมะนั้นมีจริง ! คิดว่าเป็นเพียงตัวหนังสือที่ชาวบ้านเขาเขียนกันขึ้นมาให้คนเรียนเท่านั้น
    อาตมาเข้าใจอย่างนั้น มีความเห็นผิดขนาดนั้น ! ต่อมาจึงได้ตัดสินใจ หลังจากได้ยินท่านพระครูประกาศพูดบ้าง ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ้าง
    ครูบาอาจารย์ที่รู้จักมักคุ้นโดยเฉพาะ “ หลวงพ่อใหญ่ ” (ท่านเจ้าคุณวิเชียรมุนี) เจ้าอาวาสวัดอินทารามสมัยโน้น ท่านเป็นพระภาวนาแต่เป็นพระสันโดษ ท่านไม่ค่อยพูด อยู่เงียบ ๆ ท่านเรียกไปพูดให้ฟังก็เลยลองตัดสินใจภาวนาจากตำรา
    มานั่งภาวนาอยู่ในกุฎิคืนหนึ่ง ผลก็คือรู้จักเหตุรู้จักผลดีขึ้น จิตใจสงบลง
    อาตมาภาวนาโดยใช้เพ่งกสิณเพ่งน้ำอยู่คืนหนึ่ง รู้สึกสบายดี ก็เลยตั้งใจจะลองภาวนาดูสัก ๖ เดือน ถ้า ๖ เดือน ไม่รู้อะไรเลยก็จะเลิกแล้ว ไม่เชื่อแล้วธรรมะนี้ ”
    ปฏิบัติกันขั้นอุกฤษฏ์
    เมื่อท่านอาจารย์มหาวิบูลย์พุทธญาโณ ตัดสินใจเช่นนั้น ท่านก็เริ่มปฏิบัติและปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจัง โดยใช้คำภาวนา “ พุท-โธ ” บ้างใช้ภาวนา “ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ” บ้าง
    แต่ส่วนมากใช้ อาโปกสิณ หรือไม่ก็ เตโชกสิณ ท่านบอกว่าเป็นวิธีที่ง่ายหน่อย รวมจิตเร็ว
    การปฏิบัติของท่านอาจารย์มหาวิบูลย์นั้น ท่านปฏิบัติอยู่ในสามอิริยาบถ คือ ยืน เดิน นั่ง ไม่มีการนอนตลอด ๖ เดือน !
    ยืนก็ภาวนา เดินก็ภาวน นั่งก็ภาวนา เพ่งกสิณบ้าง ถึงกระนั้นท่านยังบอกว่าสองเดือนแรกไม่เห็นผลอะไร พอเข้าเดือนที่สามจึงรู้สึกจะได้ผลดี จิตมีความรู้แปลก ๆ สิ่งที่ไม่เคยรู้ก็เกิดรู้ขึ้น อะไรที่แปลกปลอมเข้ามา จิตก็เริ่มรู้ทันเร็วขึ้น ธรรมะที่ไม่เคยเรียนรู้ก็ผุดขึ้นมาในใจ
    การปฏิบัติของท่านตอนนั้นทำให้สุขภาพทรุดโทรม ร่างกายผ่ายผอม แต่ท่านก็ไม่ย่อท้อ ท่านต้องการเห็นธรรมะ ท่านต้องการรู้ธรรมะ แม้ตัวจะตายท่านก็ยอม
    “ พออาตมาปฏิบัติได้ครบ ๖ เดือนก็เข้าป่า ” ท่านบอก
    การธุดงค์ครั้งแรก
    ครั้งแรกที่ท่านแบกกลดสะพายบาตรออกจากวัดอินทารามตลาดพลูนั้น ท่านธุดงค์ไปอยู่ที่เกาะสีชัง โดยถือธุดงควัตรอย่างเคร่งครัด
    เมื่อไปอยู่เกาะสีชังพักหนึ่งเห็นผู้คนชักจะพลุ่กพล่าน ท่านก็หนี ธุดงค์ขึ้นไปทางภาคเหนือ ท่องเที่ยวหาวิเวกไปตั้งแต่พิษณุโลก แพร่ น่าน ลำพูน ลำปาง เชียงใหม่
    ท่านบอกว่า “ อาตมาไม่ได้ไปแต่แม่ฮ่องสอนเท่านั้น ”
    การธุดงค์ของท่านนั้นปฏิบัติเป็นประจำทุกปี นับแต่ พ.ศ.๒๕๐๖ ถึงปัจจุบันนี้
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระนางพญาหลังธรรมจักรหลวงพ่อมหาวิบูลย์ วัดโพธิคุณ จ.ตาก

    ให้บูชา 220 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาท
    ครับ

    IMG_20250701_161915.jpg IMG_20250701_161940.jpg
     
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,326
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751376537690.jpg
    คาถาเทพรักษามหาเมตตา ของหลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ
    สุขัง สุปะติ สุขัง ปะติ พุชชะติ นะปาปะกัง สุปินัง ปัสสะติ
    มะนุสสานัง ปิโยโหติ อะมะนุสสานัง ปิโยโหติ เทวะตารักขันติ
    อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง
    ให้ภาวนาก่อนขับขี่ยวดยานพาหนะหรือไปทำมาค้าขาย โชคลาภมากมาย ผู้คนรักใคร่ เทพยดาอวยชัย ซื้อง่ายขายคล่อง คลาดแคล้วปลอดภัยนักแล
    หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง
    พระเถราจารย์ผู้ทรงคุณวิเศษเมืองอุตรดิตถ์ ที่แม้แต่ ลพ.คูณยังก้มลงกราบไหว้ท่านลพ.คูณกล่าวว่านั่งปรก กับลป.ทองดำเพียง5นาทีจิตของท่านหมายถึงจิต
    ลป.ทองดำ ท่านไปถึงไหนแล้วกูตามท่านไม่ทันดอก
    "หลวงปู่ทองดำ ฐิตวัณโณ" หรือ "พระนิมมานโกวิท" วัดท่าทอง ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ หรือ หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทองเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง แก่กล้าในพลังจิตพุทธาคม ได้รับความเลื่อมใสศรัทธาจากพุทธศาสนิกชนเป็นอย่างยิ่ง
    อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า ทองดำ เม่นพริ้ง เกิดเมื่อปี 2441 ที่บ้านไซโรงโขน อ.ตะพานหิน จ.พิจิตร โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายบุญนาค-นางจ่าย เม่นพริ้ง มีอาชีพล่องเรือค้ายาสูบ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน 8 คน ท่านเป็นบุตรคนที่ 4
    ในวัยเด็กอายุประมาณ 3 ขวบ บิดามารดาได้นำไปถวายเป็นบุตรบุญธรรมของ หลวงพ่อเงิน พุทธโชติ พระคณาจารย์ชื่อดังแห่งวัดบางคลาน จ.พิจิตร
    หลวงพ่อเงิน เคยเอ่ยปากชมว่า "ไอ้หนูคนนี้เป็นเทวดามาเกิด ใครก็เลี้ยงไม่ได้นอกจากเรา ขอให้โยมยกเด็กคนนี้ให้มาเป็นลูกของเราเถิด" ตั้งแต่นั้นมาหลวงพ่อเงินได้เลี้ยงดูอบรมสั่งสอน จนสามารถท่องบทสวดมนต์ได้อย่างรวดเร็วในวัยเพียงน้อยนิดเท่านั้น
    เมื่อ อายุ 22 ปี ได้เข้าพิธีอุปสมบท ณ อุโบสถวัดวังหมู ต.หาดกรวด อ.เมืองอุตรดิตถ์ โดยมี พระครูวิเชียรปัญญามหามุนี (เรือง) เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ เจ้าอาวาสวัดท่าถนน ต.ท่าอิฐ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์ เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอาจารย์แส เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ ต.ไผ่ล้อม อ.ลับแล จ.อุตรดิตถ์ เป็นพระกรรมวาจารย์ พระครูดวง เจ้าอาวาสวัดวังหมู เป็นพระอนุสาวนาจารย์ ได้รับฉายา ฐิตวัณโณ
    หลังจากบวชแล้ว ได้จำพรรษาที่วัดท่าทอง 1 พรรษา และย้ายไปจำพรรษาที่วัดท่าถนน 3 พรรษา ต่อมาตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทองว่างลง ญาติโยมกราบอาราธนาให้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดท่าทอง ระหว่างเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าทอง หลวงปู่ทองดำได้ศึกษาความรู้ด้านปริยัติธรรมจนสอบได้นักธรรมตรี ซึ่งระหว่างเรียนท่านได้มุ่งมั่นพัฒนาวัดท่าทองไปพร้อมๆ กัน จนเป็นที่เชิดหน้าชูตาทางพุทธศาสนาวัดหนึ่งในอุตรดิตถ์
    เมื่อปี พ.ศ.2504 ได้รับพระราชทานเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นสามัญที่ พระนิมมานโกวิท และปี พ.ศ.2510 ได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้าคณะอำเภอเมืองอุตรดิตถ์
    นอกจากเล่าเรียนทาง ปริยัติธรรมแล้ว หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทองยังสนใจวิชาโหราศาสตร์ และเรื่องวิทยาคม โดยช่วงวัยเด็กระหว่างเรียนหนังสือกับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน ได้ศึกษาวิชาอยู่ยงคง กระพันกับโยมปู่เพื่อป้อง กันตัว
    กล่าวกันว่า ในช่วงวัยรุ่น หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทองท่านชอบการชกมวยจนได้รับฉายาว่า "ดำ ท่าทาง" เพราะท่านเรียนวิชากับโยมปู่ของท่าน โดยเฉพาะวิชาอยู่ยงคงกระพัน วิชาธนูมือ คือก่อนขึ้นชกมวย ท่านจะท่องคาถา เขียนที่ฝ่ามือเมื่อขึ้นชกจะทำให้มีพละกำลังและคม ทำให้คู่ชกแตกได้ง่าย
    ระหว่าง จำพรรษาที่วัดท่าทองยังไปฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อทิม วัดกลาง อ.เมืองพิจิตร พระเกจิอาจารย์ชื่อดังเกี่ยวกับตะกรุดโทน และหลวงพ่อทิมได้เมตตาถ่ายทอดวิชาและมอบตำราไสยเวทต่างๆ ให้จนหมดสิ้น ซึ่งหลวงปู่ทองดำ วัดท่าทองได้ใช้วิชาความรู้พัฒนาพุทธศาสนาเรื่อยมา
    กิตติศัพท์ ความเลื่องลือในปฏิปทาอันแรงกล้าและจริยวัตรอันงดงามของหลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง ขจรขจาย ไปไกลทุกสารทิศ พระเกจิอาจารย์รุ่นหลังหลายรูปให้ความเคารพนับถือในตัวท่าน ต่างเดินทางไปกราบไหว้และสนทนาธรรมอยู่เสมอ
    พระเทพวิทยาคมเถร หรือ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ อริยสงฆ์แห่งแดนที่ราบสูงที่ปัจจุบันจำพรรษาที่วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ก็เคยมากราบไหว้สนทนาธรรมกับหลวงปู่ทองดำถึงวัดท่าทอง สร้างความฮือฮาให้กับพุทธศาสนิกชนที่ทราบข่าวเป็นยิ่งนัก
    หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง ได้ละสังขารเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2548 สิริอายุ 107 ปี
    ใน ช่วงที่หลวงปู่ทองดำ วัดท่าทองท่านยังมีชีวิตอยู่ ได้อธิษฐานจิตปลุกเสกพระเครื่องวัตถุมงคลไว้จำนวนมาก อาทิ พระเนื้อดิน สร้างไว้ก่อนปี 2500 พิมพ์ซุ้มนครโกษา พิมพ์ยอดขุนพลบ้านปืน พระนางพญาพิมพ์ใหญ่ พิมพ์เล็ก แผ่นยันต์ตะกรุด ชานหมาก รูปเหมือน สติ๊กเกอร์ติดหน้ารถ พระพิมพ์สมเด็จ พระนางพญา ปี 2523 ล็อกเกต พระปิดตา เหรียญ พระกริ่ง นางกวัก สีวลี เป็นต้น
    ถือเป็นพระเครื่องของหลวงปู่ทองดำ วัดท่าทอง ที่ได้รับความนิยมจากบรรดาเซียนพระเครื่องเป็นอย่างยิ่ง
    หลวงปู่ทองดำที่ข้าพเจ้ารู้จัก
    วัดท่าทอง ต.วังกะพี้ อ.เมือง จ.อุตรดิตถ์
    โดย นายอรรณพ แก้วปทุมทิพย์
    ในสมัยเมื่อปี พ.ศ. 2525 ผมเพิ่งเข้ารับราชการที่จังหวัดอุตรดิตถ์ใหม่ๆเรื่องพระเรื่องเจ้าก็ยังไม่ได้สนใจเท่าใดนัก เรียกได้ว่าเป็นนักเรียนหัวนอก เพราะอยู่เมืองนอกมานานจะด้วยเวรหรือกรรมอะไรก็ไม่ทราบได้ต้องมีอันให้ไปเป็นครูที่วิทยาลัยเทคนิคอุตรดิตถ์ ในสมัยนั้นจำได้ว่าเป็นเมืองเล็กๆยังไม่ค่อยเจริญ ความเป็นครูโสดก็มีเวลาว่างมาก ผมมักจะตะลอนเที่ยวไปมันไปเรื่อยเปื่อย ที่สนใจมากเป็นพิเศษก็คือของเก่าเรียกได้ว่าถ้าว่างต้องไปจังหวัดสุโขทัย ไปมันเกือบทุกอาทิตย์เพราะจังหวัดอยู่ติดกัน ไปดูของเก่า ซื้อของเก่า ไม่ว่าจะเป็นถ้วย ชามต่างๆ พระพุทธรูป พระกรุ โดยเฉพาะเศษสังคโลกที่บริเวณเตาเผาเมืองเก่าศรีสัชนาลัย สมัยนั้นพวกนักขุดเขาทิ้งเศษถ้วยชามเกลื่อนไปหมด เก็บมาทุกสี นั่งดูมันทุกวันจนเพื่อนๆเขาหาว่าผมมันเพี้ยน
    ผมจำได้ว่าประมาณปี 2526 ผมกับเพื่อนไปเที่ยวงานวัดพระแท่นศิลาอาสน์ ซึ่งอยู่ห่างจากตัวอำเภอเมืองประมาณ 3 กม.เป็นงานประจำปีของวัดตอนกลางคืนมีมหรสพคนเยอะมาก ตอนนั้นเป็นเวลาสัก 4 โมงเย็นกว่าๆเห็นจะได้ แดดก็ยังร้อนอยู่ ผมเดินเข้าไปบริเวณวัดพระยืนบาทยุคลซึ่งอยู่ติดกับวัดพระแท่นศิลาอาสน์กะว่าจะเข้าไปดูพระพุทธรูปเก่าสมัยเชียงแสนสักหน่อย บริเวณลานด้านหน้าวัดมีคนมุงกันหนาแน่น ใช่แล้วครับเขากำลังมีพิธีพุทธาภิเษกกัน ผมเองตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นพิธีกรรมนี้เลย ก็เลยเดินเข้าไปสอดรู้กับเขาด้วย สายตาของผมมองฝ่าแดดเข้าไปเห็นพระอยู่สองรูปนั่งอยู่บนตั่งสูง มีคนกางร่มขนาดใหญ่บังแดดอยู่ พระทั้งสองรูปนั่งหันหน้าประจันกัน ตรงกลางลานระหว่างพระทั้งสองคงจะเป็นกองวัตถุมงคล ผมยืนมองอยู่นานเหมือนกันภิกษุรูปหนึ่งรูปร่างผอมแห้งนั่งขัดสมาธิก้มหน้ามือของท่านกุมก้อนด้ายสายสิญจน์ทำสีหน้าเคร่งเครียดซึ่งผมมาเห็นรูปของท่านในภายหลังจึงรู้ว่าท่านคือหลวงพ่อ เกษม เขมโก นักบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งล้านนาในสมัยนั้น อีกรูปหนึ่งนั่งสมาธิหลังงอเล็กน้อย นิ่งเหมือนก้อนหิน ครับหลวงปู่ทองดำแห่งวัดท่าทอง ตำบลวังกะพี้ อำเภอเมือง จังหวัดอุตรดิตถ์ พระที่ผมจะกล่าวถึงในตอนต่อไป
    อย่างที่บอกแหละครับ การเป็นครูบ้านนอกเวลาว่างก็มากเพื่อนเขาเห็นผมหนักมาทางด้านของเก่าๆ เหล้ายาปลาปิ้งก็ไม่เอา เงินทุกบาทก็เทลงไปกับของเก่า เขาก็เลยบอกว่าถ้ามีโอกาสให้ไปหาหลวงปู่ทองดำสิ ใครได้ชานหมากของท่านนับว่าเป็นบุญยิ่งนัก ในฐานะที่เป็นคนใหม่ของจังหวัดและชักจะเริ่มบ้าพระขึ้นมาบ้างแล้วผมก็ไม่รอช้าหรอกครับ วัดท่าทองไม่ได้อยู่ในตัวอำเภอเมือง แต่อยู่ที่ตำบลวังกะพี้ เส้นทางไปถึงวัดก็ใช้เวลาสัก 15 นาทีเห็นจะได้ สมัยนั้นวัดท่าทองเป็นวัดที่สงบมีต้นยางขนาด 2-3 คนโอบเยอะแยะ โบสถ์ ศาลาการเปรียญรวมทั้งกุฏิหลวงปู่มองดูค่อนข้างเก่าและทรุดโทรม รั้วทางด้านทิศเหนือก็ยังไม่มีแต่ดูภาพรวมๆแล้วได้บรรยากาศของวัดที่เรียบง่าย ไม่อึกทึก ส่วนตัวหลวงปู่เองตอนนั้นท่านอายุ 85ปีสุขภาพยังแข็งแรง คนในพื้นที่และจังหวัดใกล้เคียงให้ความเคารพในตัวท่านมาก ท่านเป็นพระของชาวบ้านอย่างแท้จริงมีงานมีการที่ไหนนิมนต์ท่านๆไม่เคยขัด ขนาดชาวบ้านมารับท่านด้วยรถอีแต๋นท่านก็ไม่เคยบ่นหรือแสดงอาการรังเกียจ กุฏิของท่านเป็นกุฏิไม้สองชั้น ท่านอยู่บนชั้นสองเป็นกุฏิขนาดใหญ่ เมื่อก้าวเข้าไปในห้องโถงของกุฏิที่หลวงปู่ใช้เป็นที่รับแขกสายตาอันซอกแซกของผมก็สำรวจทุกอย่างตามปกตินิสัยของสถาปนิก ทาง ด้านซ้ายมือของห้องโถงเป็นห้องโล่งมีประตูเปิดแง้มอยู่มองเข้าไปเห็นโลงศพไม้ขนาดเขื่องตั้งอยู่ จนบัดนี้ผมเองยังไม่เคยถามท่านสักทีว่าท่านเอาโลงศพเข้าไปตั้งไว้ในห้องนั้นทำไม แต่เท่าที่ถามพระในวัดก็ตอบว่าท่านเตรียมพร้อมเอาไว้จะได้ไม่วุ่นวาย ถัดจากห้องโถงก็จะเป็นห้องนอนของท่านซึ่งเป็นห้องขนาดใหญ่มีสรรพสิ่งมากมายอยู่ในห้องของท่านตั้งแต่อัฐบริขาร ธูป เทียน ที่ผู้มีจิตศรัทธามอบถวายให้ท่าน ตลอดจนวัตถุมงคลที่ท่านสร้างไว้เตรียมแจกผู้มากราบท่าน อีกทั้งยังมีโอ่งน้ำมนต์ขนาดเขื่องซึ่งท่านบอกว่าเป็นน้ำมนต์เสาร์ห้าซึ่งมักจะมีญาติโยมมาขอรดขอพรมน้ำมนต์เป็นจำนวนมากท่านก็จะตักน้ำมนต์ในโอ่งมาเป็นหัวเชื้อผสมกับน้ำในถังและอาบให้ ผมจำได้ดีว่าพระองค์แรกที่ได้รับจากมือท่านเป็นพระพิมพ์สมเด็จแป้งเจิมพิมพ์เล็กและเมื่อผมไปกราบท่านอีกในครั้งต่อมาก็ได้พระแบบต่างๆกันรวมถึงชานหมากกลับมาทุกครั้ง
    เกี่ยวกับแป้งเจิมนั้น เป็นที่รู้จักกันของชาวอุตรดิตถ์ว่าถ้าใครถอยรถใหม่จะต้องไปให้หลวงปู่ท่านเจิมรถให้ ฉะนั้นแป้งที่เหลือจากการเจิมจึงมีมากเรียกได้ว่าเสกแล้วเสกอีกไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งสะสมรวมกันอยู่ในขันทองเหลือง เมื่อมีมากท่านจึงนำมาสร้างเป็นพระพิมพ์สมเด็จมีทั้งพิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็กได้จำนวนไม่กี่ร้อยองค์เนื้อสีขาวอมเหลืองออกจะฟูๆไม่ค่อยแน่นตัวคล้ายๆกับพระวัดปากน้ำรุ่นแรกและปัจจุบันกลายเป็นของดีหายากไปแล้ว
    ส่วนชานหมากหลวงปู่นั้น ท่านฉันหมากมาตั้งแต่ยังหนุ่มจนถึงราวปี 2536 ตอนนั้นท่านป่วยหมอที่โรงพยาบาลขอให้ท่านเลิกฉันหมากท่านก็เลยหยุดตั้งแต่นั้นมา สมัยที่ท่านฉันหมากมีคนคอยจ้องว่าท่านจะคายหมากเมื่อไหร่จะเข้าไปขอเพราะถือว่าเป็นของดีเรียกว่าชาวจังหวัดอุตรดิตถ์รู้จักชานหมากหลวงปู่มากกว่าวัตถุมงคล
    ของหลวงปู่เสียอีก แม่ค้าขายหมากในตลาดเทศบาลเมืองอุตรดิตถ์จะรู้เลยว่าสูตรฉันหมากของหลวงปู่เป็นอย่างไร ถ้าจะซื้อไปถวายท่าน ก็จะจัดให้โดยไม่ต้องบอกรายละเอียด
    เวลาว่างตอนเย็นๆพลบค่ำ ผมมักจะไปนั่งคุยกับหลวงปู่อยู่เป็นประจำเพราะเวลานั้นญาติโยมน้อย ปกติท่านจะเป็นพระอารมณ์ดี แต่มักจะดุกับพวกเณรน้อยที่ชอบแอบทานขนม หรือไม่ชอบท่องหนังสือ ผมนั่งคุยไปก็ตำหมากไปให้ท่าน และท่านมักจะเชิญชวนให้ดื่มน้ำสมุนไพรซึ่งเป็นสูตรของท่านเองมีใบไม้อะไรก็จำไม่ได้เสียแล้วอยู่ 5 ชนิด ตากแห้งและนำมาต้ม ท่านบอกว่าเป็นยาบำรุง ผมเองเคยสังเกตบ่อยๆว่าเวลาท่านฉันหมาก หมากบางคำท่านก็จะบ้วนทิ้งลงกระโถน แต่บางคำท่านก็คายเก็บเอาไว้ ซึ่งผมเชื่อว่าชานหมากที่ท่านคายทิ้งคงจะเป็นชานหมากที่ยังไม่ได้ที่ หรือยังไม่ได้ภาวนาในขณะเคี้ยว สิ่งที่ผมภูมิใจมากที่สุดก็คือเกือบทุกครั้งที่ไปคุยกับท่านพอท่านจะคายหมากท่านจะกวักมือเรียกให้มารับหมากจากท่าน หมากอุ่นๆจากปากของท่านกระทบกับอุ้งมือของผมเป็นสิ่งที่ผมยังจำได้จนถึงทุกวันนี้ พอกลับถึงที่พักก็รีบเอาลงอัดในกรอบกระดาษแข็งสี่เหลี่ยมขนาดองค์พระย่อมๆพอแห้งแล้วก็แกะเก็บไว้
    หลวงปู่เคยเล่าให้ฟังว่าโยมปู่ของท่านเป็นผู้มีอาคม เคยเป็นทหารไปปราบฮ่อก่อนออกรบทีไรก็ต้องบริกรรมคาถาทุกครั้ง และก็ปลอดภัยกลับมาทุกครั้ง ตัวท่านเองในสมัยเด็กๆชอบชกมวยเคยชกมวยในงานวัดบ่อยๆก่อนชกก็จะบริกรรมคาถา “แพ้ก็มีชนะก็มี” ท่านกล่าวแล้วก็หัวเราะ ตอนท่านอายุสัก 10 ขวบโยมพ่อมีโอกาสก็นำไปฝากตัวให้เป็นศิษย์หลวงปู่ทิม วัดกลาง จ.อุตรดิตถ์ ซึ่งเป็นอาจารย์ที่เรืองเวทย์อาคมกล้าและเป็นสหธรรมิกเพื่อนรุ่นน้องที่สนิทกับหลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน จ.พิจิตร ท่านจึงมีโอกาสติดตามอาจารย์ทิมไปหาหลวงพ่อเงินอยู่บ่อยครั้ง และขากลับหลวงพ่อเงินมักจะฝากพระให้กับพระอาจารย์ทิมอยู่บ่อยๆครั้งละเป็นจำนวนเต็มบาตร “พระอะไรก็ไม่รู้ เป็นดินสีแดงๆบ้าง ขาวๆบ้าง รูปร่างก็ไม่สวย” ท่านกล่าวเมื่อผมพยายามซัก แสดงว่าในสมัยที่หลวงพ่อเงินท่านยังมีชีวิตอยู่นอกจากจะสร้างรูปหล่อโลหะและเหรียญจอบอันเลื่องลือชื่อแล้ว ท่านยังสร้างพระพิมพ์อื่นๆอีกด้วย ผมเองเป็นคนขี้สงสัยทุกครั้งที่คุยกับท่านมักจะถามเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลของท่าน แต่ที่แปลกก็คือไม่ว่าจะถามตรงๆหรืออ้อมๆ ท่านไม่เคยตอบสักที เรียกว่าไม่เคยคุยว่าของท่านดีอย่างไรจะตอบก็เพียงว่า“เขามีบุญ เขาก็ไม่เป็นอะไรหรอก” หรือไม่ก็ยกประโยชน์ให้เป็นความบังเอิญที่รอดจากอันตรายมา แต่เรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคลที่ท่านแจกนั้นมันหนาหูผมเหลือเกินจนเป็นความเคยชิน เรื่องอื่นๆอาจพิสูจน์ได้ยากแต่เรื่องความเหนียวนี่สิไว้ใจได้ พิสูจน์ได้เพราะเห็นมากับตา สมัยที่ท่านสร้างเหรียญและรูปหล่อรุ่นแรกปี 2529 คนเฝ้าสวนของผมเมาแล้วซ่า ถูกอันธพาลทำร้ายตีด้วยไม้และแทงซ้ำด้วยเหล็กครอสชาร์ปสะบักสะบอมกลับมา ทีแรกเจ้าตัวเองยังคิดเลยว่าสงสัยจะต้องนอนวัดแน่ๆ เจ้าตัวเปิดพุงให้ดูเห็นเป็นรอยสามแฉกทิ่มเข้าไปตรงๆแค่ห้อเลือด บวมๆแดงๆเท่านั้น แผลที่ถูกไม้ตีก็แดงช้ำเป็นปื้นๆไม่ถึงแตก เจ้าตัวคนเฝ้าสวนขี้เมาของผมห้อยเหรียญทองแดงรุ่นแรกของหลวงปู่เพียงเหรียญเดียว แถมยังยกมือไหว้ขอเงินอีก 200 บาทบอกว่าไม่เอาแล้วเหรียญทองแดง จะขยับชั้นขึ้นไปเอาเหรียญเงินมาห้อยแทน เอากับมันสิครับ
    การสร้างวัตถุมงคลของท่านนั้นเท่าที่ถามจากคนเก่าๆข้างๆวัดกล่าวว่าท่านทำมานานแล้วมีหลายรุ่นทำแล้วปลุกเสกแล้วก็แจกไปเรื่อยๆจำนวนไม่แน่นอน และไม่เคยบอกบุญเอาเงินชาวบ้านเลย รุ่นที่ท่านแจกแล้วเป็นที่ยกย่องและหวงแหนที่สุดของชาวบ้านก็คือ พระพิมพ์รุ่นแผ่นดินไหว มีทั้งพิมพ์สมเด็จพิมพ์ใหญ่หลังเรียบ พิมพ์สมเด็จพิมพ์เล็กหลังเรียบ พิมพ์สมเด็จพิมพ์เล็กหลังยันต์ห้า พิมพ์พระขุนแผนห้าเหลี่ยม พิมพ์พระพุทธชินราชห้าเหลี่ยม พิมพ์พระมารวิชัยอู่ทองพิมพ์พระรอด พิมพ์พระหลวงปู่ทวด พิมพ์พระลีลาถ้ำหีบ และพิมพ์พระสมเด็จเนื้อชานหมากล้วนๆซึ่งมีขนาดเล็กกว่าสมเด็จพิมพ์เล็กเล็กน้อย ซึ่งเริ่มสร้างเมื่อปลายปี 2512 ถือกันว่าเป็นสุดยอดวัตถุมงคลของหลวงปู่ เป็นตัวแทนแห่งองค์หลวงปู่อย่างแท้จริง ลักษณะเป็นพระเนื้อดินเผาซึ่งเอาดินมาจากใต้ฐานพระประธานวัดเก่า วัดร้างในจังหวัดอุตรดิตถ์และใกล้เคียง 9 วัด และมีส่วนผสมของเหล็กน้ำพี้จำนวนมากขนาดแม่เหล็กดูดติดองค์พระจนรู้สึกได้ องค์พระส่วนใหญ่ทาเคลือบด้วยชแล็คแดง สีเนื้อพระมีตั้งแต่สีดำเพราะอ่อนไฟไปจนถึงสีน้ำตาลและสีแดงเพราะแก่ไฟ พระ เณรในวัดช่วยกันทำเอาใส่บาตรแล้วสุมไฟเผาจนบาตรแดงท่านกล่าวว่าขณะที่ท่านปลุกเสกพระชุดนี้อยู่ในโบสถ์ก็เกิดแผ่นดินไหวขึ้นมาพอดี หลังจากท่านปลุกเสกแล้วยังได้นำพระชุดนี้เข้าร่วมในพิธีมหาพุทธาภิเษกเหรียญพระยาพิชัยดาบหักรุ่นแรกของจังหวัดเมื่อปี2513 อีกด้วยก่อนนำออกแจกจ่าย และแน่นอนที่สุดของเก๊ปัจจุบันมีออกมามากจนนักเล่นรุ่นหลังขยาดกันเป็นแถว ราคาซื้อขาย ถ้าเป็นสมเด็จพิมพ์ใหญ่ถ้าสวยๆราคาอยู่หลักหมื่นครับ ส่วนสมเด็จพิมพ์เล็กหลังยันต์ห้าอยู่ในหลักหมื่นต้นๆ สมเด็จพิมพ์เล็กหลังเรียบอยู่ในหลักพันปลายๆ ส่วนพิมพ์อื่นๆพบเห็นน้อยมากเพราะสร้างน้อยราคาเลยประเมินไม่ถูกครับ
    เท่าที่ผมใกล้ชิดกับท่านมานาน พูดได้เลยว่าท่านเป็นพระที่มีแต่ให้ ท่านให้จนหมดมีความเมตตาเป็นที่ตั้ง แต่ก่อนๆมีคนมาขอท่านสร้างวัตถุมงคลเพื่อหาเงินกันเยอะ แต่ก็ต้องล่าถอยไปเพราะท่านกล่าวว่า “ถ้าจะทำก็ทำมาแจกสิ เขาเดือดร้อนหรือศรัทธามาหาเรา จะไปเอาเงินเขาได้อย่างไร” และท่านยังกล่าวต่อไปอีกว่า “เวลานี้ก็เหลือฉันอยู่คนเดียว ท่านบุญก็ไปแล้ว (หลวงพ่อบุญ วัดน้ำใส จ.อุตรดิตถ์) ท่านไซร้
    ก็ไปแล้ว (หลวงพ่อไซร้ วัดช่องลม จ.อุตรดิตถ์) เมื่อตอนท่านบุญยังอยู่มีคนมาขอให้ท่านช่วยเสกของให้แล้วเขาก็เอาประโยชน์ไป ฉันไม่อยากเป็นอย่างนั้น” หลวงพ่อท่านก็เลยสร้างเอง แจกเอง แต่ก็มีหลายรุ่นที่ศิษย์ของท่านสร้างมาถวายโดยไม่หวังผลตอบแทน ซึ่งท่านก็เต็มใจเสกให้และแจกเรื่อยมา จนกระทั่งเมื่อถึงปี พ.ศ.2528 ตอนนั้นข่าวว่าทางการจะสร้างสะพานข้ามแม่น้ำน่านใกล้กับวัด หากสร้างเสร็จแล้วจะมี
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    เหรียญกฐินปี ๒๕๔๐ หลวงปู่ทองดำวัดท่าทอง
    เหรียญหลวงพ่อทิมอาจารย์หลังหลวงปู่ทองดำปี ๒๕๓๔ ออกวัดกลาง รุ่นประสพการณ์และ สร้อย เชือกตะกรุดสามกษัตริย์ รวม ๒ เหรียญ
    ให้บูชา 250 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250701_202506.jpg IMG_20250701_202528.jpg IMG_20250701_202606.jpg IMG_20250701_202637.jpg IMG_20250701_202716.jpg IMG_20250701_202735.jpg
     
  3. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,326
    ค่าพลัง:
    +21,398
    1. [​IMG] [​IMG]

    [​IMG]
    [​IMG] [​IMG]


    นางพญางิ้วดำเนื้อผง วัดใหม่บ้านดอน
    โดย รณธรรม ธาราพันธุ์
    งิ้วดำ นี่ถือเป็นสุดยอดไม้มหามงคลและหายากเป็นที่สุด ก็ย่อมเรียกยกย่องอย่างสูงว่า พญางิ้วดำ ธรรมชาติสรรสร้างให้กะลามะพร้าวมีสองตาหนึ่งปาก ให้เขี้ยวหมูกลวงและเขี้ยวเสือตัน เมื่อกะลามีเพียงตาเดียวหรือไม่มีตา เมื่อเขี้ยวหมูตันและเขี้ยวเสือกลวง ย่อมถือเป็นเรื่องผิดธรรมชาติ
    ครั้นมีผู้รู้เข้ามานับถือว่าของผิดปกติเช่นนี้เป็นอาถรรพณ์มีอานุภาพบางอย่างในตัว จึงเป็นเหตุให้มีคนเลื่อมใสนับถือตามสืบ ๆ กันมา ขนาดว่าคนยังเลื่อมใสให้ความหวงแหนได้ ผู้มีกายทิพย์อันมนุษย์มองไม่เห็นจะอยากเข้ามายึดถือหวงแหนในวัตถุนั้น ๆ บ้างย่อมไม่แปลก และนี่เป็นเหตุที่ทำให้วัตถุอาถรรพณ์เหล่านั้นทวีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ๆ ขึ้นด้วยอำนาจลี้ลับ
    ไม้งิ้วก็เช่นกัน เมื่องิ้วที่ถูกแล้วควรต้องขาว แต่เมื่อวันหนึ่งไม้งิ้วเกิดโตมาแล้วมีสีดำทั้งต้น ซึ่งกรณีนี้เป็นหนึ่งในพันก็ต้องถือเป็นของหายาก ส่วนว่าเป็นสีดำเพราะผิดธรรมชาติกลายพันธุ์หรือเทวดาเข้าสิงเลยเปลี่ยนสีได้ ก็เป็นเรื่องสุดปัญญาแห่งผมที่จะตอบ
    พญางิ้วดำ ผู้รู้กล่าวว่าเป็นไม้มหามงคลที่มีฤทธานุภาพในตัวอย่างเอกอุ ไม่ว่าจะด้านสรรพคุณทางโอสถที่เมื่อนำมาต้มกับข้าวสารแล้วข้าวสุกทั้งหม้อจะมีสีดำสนิท ผู้กินเข้าไปย่อมมีกำลังดังพญาช้าง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยด้วยโรคใด ๆ ป้องกันคุณไสย ยาสั่งทั้งปวง กินครบสามเดือนเป็นคงกระพันชาตรีอยู่มีดอยู่ปืน ไม้งิ้วดำแท้แม้ต้มเป็นเดือนสีก็ไม่จาง แต่สรรพคุณทางยาย่อมจืดไปเป็นธรรมดา
    เมื่อนำไม้งิ้วดำมาพกติดตัวหรือบูชาในที่อันควรจะส่งผลให้เป็นเมตตามหานิยมอย่างยิ่ง ย่อมบังเกิดโชคลาภอยู่เนือง ๆ คำว่าขัดสนอดอยากจะไม่บังเกิดแก่ผู้บูชางิ้วดำนี้เลย ด้วยอานุภาพเยี่ยงนี้ทำให้มีผู้เสาะหาไม้งิ้วดำกันมานานนับพันปี ไม่ต่างจากไม้กาหลงที่หากมีนกกามาวนเวียนจนตายอยู่ใต้ต้นนับร้อยนับพันก็ถือว่าเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ที่มีฤทธิ์คล้ายกัน ไม้งิ้วดำเป็นอะไรที่หายากสุด ๆ ที่เจอนั้นล้วนแล้วแต่ของปลอม ซึ่งเอาไม้ธรรมดามาย้อมสีดำหลอกกันทั่วหน้า บางคนหาจนชั่วชีวิตตายแล้วเกิด เกิดแล้วตายก็ยังไม่เคยเจอ
    แต่ยุคสมัยของเราถือเป็นบุญลาภกันถ้วนทั่ว เมื่อมีผู้ค้นพบไม้งิ้วดำของแท้ที่มีอายุนานนับร้อยปี จนเนื้อไม้มีสีดำสนิทเป็นมันดังนิลกาฬ และแกร่งแข็งประดุจเพชรกล้าทั้งแก่นไม้และรากแก้วจนเกือบจะกลายเป็นหินแล้วในปัจจุบัน
    พญางิ้วดำต้นดังกล่าวค้นพบโดย คุณสุชิน เจนอารีย์ ซึ่งท่านผู้นี้ได้ขุดพบลายแทงที่จังหวัดพิจิตร ซึ่งบ่งชี้ถึงที่ซ่อนของไม้งิ้วดำและคุณสุชินก็ลองไปค้นหาตามคำบอกเล่าในลายแทง กระทั่งพบจริง ๆ ที่จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งไม้งิ้วดำต้นดั้งเดิมนี้ได้ถูกบรรจุเก็บไว้ในกรุโบราณแบบแน่นหนาเป็นอย่างดี
    ก่อนขุดขึ้นมา คุณสุชินได้ทำการบวงสรวงบอกกล่าวว่า ถ้าข้าพเจ้าขุดได้สมใจปรารถนาจริง ๆ แล้ว จะไม่ขอนำไปเป็นสมบัติส่วนตัว แต่จะนำไปถวายยังวัดใดวัดหนึ่ง เพื่อเป็นการอุทิศส่วนกุศลไปให้แก่เจ้าของเดิมที่บรรจุไว้ เมื่อทำการขุดก็ได้พบพญางิ้วดำสมคำอธิษฐานโดยไม่มีอุปสรรคใด ๆ จากนั้นคุณสุชินก็นำไม้งิ้วดำดังกล่าวมามอบให้กับ คุณทัศนีย์ ชื้อรัตนากร เจ้าของร้านยา ศักดิ์ศรีเภสัช ในตัวจังหวัดนครราชสีมา
    ซึ่งขณะนั้นคุณทัศนีย์เองก็เป็นหนึ่งในคณะกรรมการผู้ร่วมอุปถัมภ์การก่อสร้างอุโบสถวัดใหม่บ้านดอน ครั้นคุณทัศนีย์ได้ไม้งิ้วดำมาแล้วก็เก็บรักษาเป็นอย่างดีด้วยไม่เคยพบเห็นของแปลกอย่างนี้มาก่อนและด้วยความที่เป็นผู้มีน้ำใจงาม จึงได้นำไม้นี้ไปถวายพระเถรานุเถระตามวัดต่าง ๆ ตลอดจนข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ อีกทั้งญาติสนิทมิตรสหายและนั่นคือจุดเริ่มแห่งมหาปาฏิหาริย์ที่พญางิ้วดำได้แสดงให้มหาชนได้ประจักษ์ ทั้งในด้านรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ บันดาลให้แคล้วคลาดจากภยันตรายอันเกิดเฉพาะหน้า และผู้ที่อัญเชิญขึ้นบูชายังที่สูงก็ได้ประสบกับโชคลาภในหลาย ๆ ทางอย่างไม่น่าเชื่อ
    เหตุการณ์นับว่าน่าอัศจรรย์ ประดุจว่าเป็นความต้องการของเทพเจ้าผู้ปกปักรักษาไม้งิ้วดำบันดาลให้เป็นไป ตั้งแต่การขุดพบลายแทงและแกะรอยไปจนพบเจอ ด้วยสุภาพบุรุษที่มั่นคงในสัจจะอย่างคุณสุชิน และการที่คุณสุชินรู้จักกับคุณทัศนีย์ ซึ่งเป็นผู้ร่วมสร้างโบสถ์วัดใหม่บ้านดอน ซึ่งแต่ละท่านไม่คิดที่จะเก็บงำของสูงค่าอย่างนี้ไว้เป็นสมบัติตน มิเช่นนั้นแล้ว พญางิ้วดำ ต้นนี้ย่อมไม่มีโอกาสถูกอัญเชิญออกมาให้สาธุชนได้กราบไหว้บูชา
    ต่อมาคุณทัศนีย์ก็นำไม้งิ้วดำทั้งหมดถวายแก่ท่านพระครูอาคมวุฒิคุณ (วิจิตร อินทปัญโญ) วัดใหม่บ้านดอน ซึ่งท่านพระครูอาคมฯ ท่านนี้ เป็นศิษย์สำคัญรูปหนึ่งของหลวงพ่อผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต อำเภอมัญจาคีรี จังหวัดขอนแก่น และเป็นศิษย์ของ หลวงพ่อหน่าย อินทสีโล วัดบ้านแจ้ง อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
    พระมหาเถระทั้งสองรูปนี้ผมแทบไม่ต้องกล่าวถึงกิตติคุณและความเก่งกล้าสามารถของท่านแล้วกระมัง ด้วยท่านเป็นผู้ทรงภูมิและวิทยาคุณอย่างสุดยอด ปรากฏชื่อลือชามานานนับสิบ ๆ ปี ชนิดที่หาคนไม่รู้จักไม่มี หลวงปู่ทั้งสองเป็นครูบาอาจารย์ที่ถ่ายทอดสมถะและวิปัสสนากรรมฐานตลอดทั้งวิชาอาคมต่าง ๆ ให้หลวงพ่อพระครูอาคมฯ อย่างไม่ปิดบัง
    เมื่อท่านบรรลุวิทยาคุณต่าง ๆ ก็พอดี นายสงวน กิ่งโคกกรวด ได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการปฏิสังขรณ์วัดใหม่บ้านดอนที่รกร้างมานาน และนิมนต์ขอให้หลวงพ่อพระครูอาคมฯ ย้ายมาจากวัดบ้านแจ้ง อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาอยู่วัดใหม่บ้านดอนเพื่อทำการบูรณะ ซึ่ง เมื่อท่านพิจารณาแล้วก็รับปากและลงมือพัฒนาเรื่อยมาจนเจริญรุ่งเรือง
    ครั้นหลวงพ่อพระครูอาคมฯ ได้รับมอบไม้งิ้วดำมาแล้ว ท่านก็นำแก่นไม้ที่ใหญ่ที่สุดมาแกะเป็นเสาหลักมงคลมีลักษณะคล้ายกับหลักเมือง คือ เป็นเสากลม หัวเสาสลักเป็นดอกบัวตูมอย่างละเอียดประณีตงดงามมาก ส่วนรากแก้วหลวงพ่อได้ทำการเททองหล่อองค์พระพุทธรูป มีพุทธ ลักษณะครึ่งซีก พระปฤษฏางค์(หลัง) ติดกับซุ้มเรือนแก้วประดับกระจกสี จากนั้นท่านก็บรรจุรากไม้งิ้วดำเข้าไปในองค์พระแล้วถวายพระนามว่า พระพุทธมงคลสมเด็จนางพญางิ้วดำ เพื่อให้ลูกหลานได้กราบไหว้บูชาไปตลอดกาลนาน
    เนื้อไม้ที่เหลือหลวงพ่อพระครูอาคมฯ ให้ช่างแกะเป็นพระเครื่อง และท่านได้ลงเหล็กจารปลุกเสกเป็นอย่างดี ด้วยอำนาจจิตที่ฝึกฝนมายาวนาน ผนึกกับอิทธิฤทธิ์ของเทพเจ้าผู้รักษาไม้งิ้วดำ ส่งผลให้พระนางพญาองค์น้อยนี้แสดงอภินิหารแก่ผู้รับไปบูชาอย่างน่ามหัศจรรย์ ส่วนเศษไม้ชิ้นเล็กกับฝุ่นผงไม้งิ้วดำ หลวงพ่อได้นำมาบรรจุไว้ในองค์พระบูชา และนำมาบดเป็นผงผสมกับว่านและผงพุทธคุณต่าง ๆ สร้างเป็นพระเครื่องนับสิบพิมพ์
    ในส่วนของพุทธาภิเษกก็มิใช่จัดกันอย่างสุกเอาเผากินหรือทำแบบคนไม่รู้เรื่องรู้ราว ดังกล่าวมาแล้วว่าหลวงพ่อพระครูอาคมฯ ท่านเป็นศิษย์ของสองพระอาจารย์ใหญ่คือ หลวงพ่อผางและหลวงพ่อหน่าย ฉะนั้นท่านจึงจัดพิธีอย่างคนที่เรียกได้ว่า
    มีครู
    หลวงพ่อพระครูอาคมฯ ท่านสร้างพระรุ่นแรก เท่าที่สืบได้เป็นหลักฐานแน่ชัดคือ ในปีพ.ศ. 2511 เป็นพระสมเด็จที่มีมวลสารดีเยี่ยมและพิธีดียอด กล่าวกันว่าในละแวกนั้น วัดใหม่บ้านดอนเป็นวัดแรกที่มีพิธีพุทธาภิเษกแรกในปี 2511 และยังได้จัดพิธีต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันรวมแล้ว ไม่ต่ำกว่า 20 พิธีใหญ่
    ในทุกครั้งที่ประกอบพิธีหลวงพ่อจะพิถีพิถันละเอียดประณีตเป็นที่สุด ต้องไม่ผิดพลาดในด้านพิธีกรรมใด ๆ ทั้งสิ้น ตั้งแต่การโยงสายสิญจน์ ตั้งราชวัติ ฉัตร ธง กล้วย อ้อย การบวงสรวงโดยพราหมณ์อย่างครบสูตร ทั้งเครื่องบูชา บายศรี 9 ชั้น บายศรีปากชาม บัตรเทวดาอัฏฐทิศ ฆ้อง กลอง สังข์ และบันเฑาะว์ ใน ทุก ๆ พิธีล้วนครบครันยิ่งใหญ่ตระการตา
    เห็นชัดว่าหลวงพ่อพระครูอาคมฯ เป็นผู้ที่แตกฉานในสรรพวิทยาไม่ใช่ทำอย่างด้นเอาเอง ดังนั้น เมื่อวัดจัดพุทธาภิเษกครั้งใด ย่อมบังเกิดความศักดิ์สิทธิ์ด้วยอำนาจของเทพ พรหม เบื้องบนประการหนึ่ง และจิตตานุภาพของพระอาจารย์ผู้ทรงคุณที่มาเจริญภาวนาอีกประการหนึ่ง
    ทุก ๆ ครั้งที่มีพิธีพุทธาภิเษกขึ้นในวัด หากวัตถุมงคลชุดเก่ายังมีตกค้าง หลวงพ่อพระครูฯ ก็จะให้ คณะกรรมการช่วยกันขนพระเครื่อง พระบูชาเหล่านั้นออกมาให้หมด เพื่อนำเข้าพุทธาภิเษกอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ฉะนั้น พระเครื่อง-พระบูชาที่เหลือในปัจจุบันยิ่งเป็นของเก่านั่นคือยิ่งเสกมาก เสกมโหฬารไม่รู้จักกี่พลังจิตของพระคณาอาจารย์ที่อธิษฐานจิตลงไป ก็โดยที่แตกฉานในวิทยาคุณ และโหราศาสตร์ แทบทุกคราวที่ประกอบพิธีท่านจึงมักเฟ้นเอาวันดีวันแข็งเป็นหลัก เกือบทุกพิธีจึงจัดขึ้นในวันเสาร์ 5 เดือน 5 “
    แผ่นพระยันต์ที่หลวงพ่อขอให้ครูบาอาจารย์ผู้ทรงคุณ ลงจารและปลุกเสก ผมคงไม่อาจกล่าวได้หมด ขอนำเสนอเท่าที่เห็นควร คือ
    1.สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพรสังฆราช (ป๋า) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์) กรุงเทพฯ
    2.พระราชธรรมาภรณ์ (เงิน จันทสุวัณโณ) วัดดอนยายหอม อ.เมือง จ.นครปฐม
    3.พระราชเขมาจารย์ (เปาะ) วัดช่องลม เมือง จ.ราชบุรี
    4.พระครูภาวนาสังวรคุณ (เต๋ คัง คสุวัณโณ) วัดสามง่าม อ.ดอนตูมจ.นครปฐม
    5.พระรักขิตวันมุนี (ถิร) วัดป่าเลไลยก์ อ.เมือง จ.สุพรรบุรี
    6.พระครูญาณวิลาส (แดง รัตโต) วัดเขาบันไดอิฐ อ.เมือง จ.เพชรบุรี
    7.พระครูสถาพร พุทธมนต์ (สำเนียง อยู่สถาพร) วัดเวฬุวนาราม อ.บางเลน จ.นครปฐม
    8.พระครูสุวรรณวุฒาจารย์ (มุ่ย พุทธรักขิโต) วัดดอนไร่ อ.สามชุก จ.สุพรรณบุรี
    9.พระครูอุภัยภาดาธร (ขอม อนิโช) วัดโพธาราม(วัดไผ่โรงวัว) อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี
    10.พระครูศรีพรหมโสภิต (แพ เขมังกโร) วัดพิกุลทอง อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี
    11.พระครูวิบูลย์คุณวัฒน์ (หล่อ) วัดน้อย อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่านทอง
    12.พระวิจิตรวิหารวัตร วัดราชสิทธาราม (วัดพลับ) บางกอกใหญ่ กทม.
    13.พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร วัดป่าอุดมสมพร อ.พรรณานิคมจ.สกลนคร
    14.พระอาจารย์ปิ่น ปัสสันโน วัดสว่างภพ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
    15.พระครูสาทรคณารักษ์ (ก้อน จิตตสาโท) วัดห้วยสะแกราช อ.ปักธงชัย จ.นครราสีมา
    16.หลวงพ่อตู้ พุทธจิตโต วัดศรีษะช้าง อ.เมือง จ.นครราชสีมา
    17.หลวงพ่อหน่าย อินทสีโล วัดบ้านแจ้ง อ.บางปะหัน จ.พระนครศรีอยุธยา
    18.หลวงพ่อผาง จิตตคุตโต วัดอุดมคงคาคีรีเขต อ.มัญจาคีรี จ.ขอนแก่น
    19.พระครูวิจิตรสมณวัตร วัดกุดจิก อ.สูงเนิน จ.นคราชสีมา
    20.หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
    นี่คือ "รายไม่ละเอียด" ของพระอาจารย์ที่ลงแผ่นยันต์ เพราะถ้าเป็น "รายละเอียด" เมื่อใดกระดาษก็จะไม่ พอเขียน ต่อไปเป็นรายนามพระคณาจารย์ที่ "มาร่วมเสก" มิใช่ "จะมาเสก" ที่นำมาลงนี้ก็เป็นแต่เพียงบางรูป ซึ่งขอตัดเอามาจากพุทธาภิเษกในพิธีเสาร์ 5 วันที่ 6-7-8 เมษายน พ.ศ.2516 พิธีเดียวเท่านั้น ขอได้โปรดทราบว่ายังเหลืออีกเป็นร้อยองค์
    1.พระเทพสีมาภรณ์ วัดพระนารายณ์มหาราช อ.เมือง จ.นครราชสีมา
    2.พระปทุมญาณมุนี วัดบึง อ.เมืองจ.นครราชสีมา
    3.พระครูสังฆกิจบุราจารย์ วัดจระเข้หิน อ.ครบุรี จ.นครราชสีมา
    4.พระครูประสาธขันธคุณ (มุม อินทปัญญโญ) วัดปราสาทเยอร์เหนือ อ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ
    5.หลวงปู่อ่อน ญาณสิริ วัดป่านิโครธาราม อ.หนองวัวซอ จ.อุดรธานี
    6.พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (วัน อุตตโม) วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อ.ส่อง ดาว จ.สกลนคร
    7.พระครูอุดมสีลาภรณ์ (เสาร์) วัดกุดเวียน อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา
    8.หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ วัดบ้านไร่ อ.ด่านขุนทด จ.นครราชสีมา
    9.พระครูศรีชัยธัช (ตัด) วัดนกออก อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
    10.พระครูอาภัสสรคุณ (อารีย์) วัดท้ายเชิด อ.พนัสนิคม จ.ราชบุรี
    11.พระครูอโศกธรรมรักษ์ (เพ็ง) วัดพิกุลทอง อ.ชุมพร จ.นครราชสีมา
    12.พระอาจารย์น้อย กิตติโก วัดโพธิ์เย็น อ.เมือง จ.เพชรบูรณ์
    13.พระอาจารย์สงัด ยโสธโร วัดพระเพลิง อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา
    14.พระครูอาคมวุฒิคุณ (วิจิตร อินทปัญโญ) วัดใหม่บ้านดอน
    เอาเท่านี้ก่อนแล้วกัน ไม่ต้องห่วง ถึง หลวงปู่ผาง หลวงปู่หน่าย และ หลวงพ่อคูณ ที่มาเสกเป็นองค์หลักในทุก ๆ พิธี โดยเฉพาะหลวงพ่อคูณท่านเอ็นดูเมตตาพระครูอาคมฯ มาก เมื่อเห็นท่านพระครูอาคมฯ เหนื่อยกับการจัดงานและสิ้นเปลืองเงินมิใช่น้อยในแต่ละพิธี ท่านจึงออก ปากอย่างเป็นกันเองที่สุดว่า
    "เออ มึงไม่ต้องจัดอย่างนี้ด๊อก นิมนต์มามากหมดเงินไม่น่อย แค่กูคนเดียวก็เกินพอแล้ว"
    ด้วยเวลาประกอบพุทธาภิเษกไม่ตรงกับเวลาที่ท่านว่าง ท่านจึงมาทำให้ก่อนและวันนี้แหละ คือ วันที่ท่านลั่นอมตะวาจา พอท่านขึ้นนั่งบนอาสนะที่จัดไว้และเริ่มลงมือเสก พลันฟ้าที่เคยสว่างไสวก็พยับโพยมด้วยเมฆครึ้ม แดดร่มลมตกอย่างกะทันหัน ไม่นานเสียงฟ้าก็ลั่นเปรี้ยงปร้างอย่างน่าตระหนก เหตุการณ์เป็นอยู่อย่างนั้นตลอดเวลาที่ท่านบริกรรมปลุกเสก กระทั่งหลวงพ่อคูณเป่าพ้วงไปที่กองวัตถุมงคลทั้งปวงนั่นแหละ ดินฟ้าอากาศที่แปรปรวนก็หยุดไปราวปิดสวิตช์ให้เห็นเป็นที่อัศจรรย์
    ขลังไหมล่ะอย่างนี้ ?
    ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่หลวงพ่อพระครูอาคมฯ จะผูกขาดหลวงพ่อคูณในทุก ๆ พิธีเสกทีเดียว วัตถุมงคลที่ทางวัดจัดสร้างมีมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2511 ถึงปัจจุบันก็หลายสิบรุ่น รวมแล้วนับร้อย ๆพิมพ์ จึงไม่อาจนำเสนอได้หมดทุกรุ่น อีกทั้งหลายรุ่นก็หมดไปจากวัดนานแล้ว ผมคงทำได้เพียงแนะนำพระที่คงเหลือให้บูชาอยู่เท่านั้น
    นางพญางิ้วดำ แม้ไม่ใช่คำใหม่สำหรับผมแต่กับของจริงก็ยังไม่เคยได้เห็นสักที ได้ยินแต่เขาเล่ามาตลอดอายุขัย จนวันหนึ่งในปี พ.ศ. 2543 เพื่อนสนิทที่สุดของผมคนหนึ่ง ขออนุญาตเอ่ยนามเลยว่า คุณภิญโญ เขียนสุวรรณ ได้ประสบมรสุมชีวิตลูกใหญ่ที่สุดอย่างไม่เคยเจอมาก่อน ผมไม่เคยเห็นเขาทุกข์ขนาดนี้ ไม่เคยได้ยินคนเก่งที่สู้ชีวิตมาตลอดวัยจะพูดว่า "อยากตาย"
    ไม่ต้องเล่าให้ผมฟังหรอกว่าเรื่องคืออะไร แต่คำว่าอยากตายนั่นก็หมายถึงเรื่องต้องไม่ใช่เล็กน้อยจนพอจะแบกไหว ผมเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไรเพราะแต่ละเรื่องคือสิ่งที่ผมก็สุดปัญญา โดยเฉพาะหนี้ที่มีเกือบ 3 แสนบาท
    เขาเฝ้าอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์และพระสงฆ์ที่เชื่อถือศรัทธามาตลอด 2 ปี ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น จนวันหนึ่งเกิดคิดเบื่อชีวิตสุด ๆ จึงนั่งรถเรื่อยเปื่อยไปลงหมอชิตและต่อรถไปโคราชโดยลำพัง ถึงโคราชก็เกือบสี่ทุ่ม จึงเข้าไปกราบย่าโมแล้วแวะนอนโรงแรมจิ้งหรีดละแวกนั้นคืนละ 150 บาท
    ตีสี่กว่าของวันอาทิตย์ก็ลุกขึ้นไปถามหาวัดใหม่บ้านดอนที่ท่ารถ ปรากฏว่าต้องนั่งรถโดยสารย้อนออกจากเมืองเพราะวัดอยู่นอกเมืองห่างไป 13 กิโลเมตร พอได้รถสองแถวใหญ่ก็นั่งย้อนกลับมาจนพบวัดสมใจ
    ภิญโญเข้าไปที่ตำหนักสมเด็จนางพญางิ้วดำคนเดียว สภาพที่เงียบเชียบไม่มีใครจึงเป็นโอกาสที่เขาจะได้ระบายความทุกข์ทั้งหลายให้ท่านฟัง จุดธูปเล่าไปร้องไห้ไปเหมือนท่านมีชีวิต เป็นพ่อเป็นแม่ที่มานั่งฟังความทุกข์อันแสนสาหัสของลูก เมื่อสบายใจขึ้นมาบ้างก็บอกท่านว่าถ้าโชคดีมีลาภแก้สถานการณ์เลวร้ายนี้ลงได้ จะขอมาเปลี่ยนผ้าม่านและดอกไม้ให้สวยสดสมฐานะของท่าน แล้วกราบลานางพญางิ้วดำกลับชลบุรี
    คืนวันอังคาร ภิญโญฝันเห็นชายคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดขาวสะอาดมายืนเรียกตะโกนถามว่า
    "ซื้อหวยหรือยัง ?"
    ในฝันอันลางเลือนเขาได้ตอบชายลึกลับคนนั้นไปว่า "ยัง" ชายชุด ขาวจึงว่าให้ไปดูทะเบียนรถกระบะ ของเพื่อนที่ทำงานพร้อมบอกชื่อให้เสร็จสรรพ
    ครั้นตื่นไปทำงานก็นึกถึงเรื่องนี้ได้ จึงไปถามไถ่กับเพื่อนจนได้เลขทะเบียนมา แล้วซื้อไปตรง ๆ สองเจ้า เจ้าละ 300 บาท ตกบ่ายหวยก็ออก เพื่อนที่ฟังการออกสลากวิ่งเข้ามาเขย่าแขน รายงานและล่ำละลักว่า เขาถูกหวย เจ้าตัวยังไม่เชื่อหู กระทั่งเจ้ามือมาจ่ายในตอนเย็นเจ้าละ135,000 บาทนั่นแหละเขาถึงเชื่อและดีใจจนเนื้อเต้น
    แต่นั้นมาพวกเราจึงได้รู้จักสมเด็จนางพญางิ้วดำจากเพื่อนคนนี้ เพื่อนที่มิได้แนะนำให้รู้จักท่าน ด้วยวาจา หากใช้ชีวิตของตนเป็นเดิมพันทีเดียว ภิญโญสั่งตัดผ้าม่านที่ชลบุรีและสั่งทำดอกบัวประดิษฐ์อย่างสวยงาม พร้อมเหมารถพาพวกเราทุกคนขึ้นไปกราบท่านหลายหน นับแต่นั้นพวกเราก็เป็นขาประจำของวัดใหม่บ้านดอนเลยทีเดียว ทุก ๆ ปีต้องจัดบายศรีและเครื่องสักการะขึ้นไปถวายท่าน ถ้าผ่านไปแถวโคราชก็ต้องแวะกราบก่อนเสมอ
    ใช่แต่เพื่อนคนนี้จะพบเจอปาฏิหาริย์แห่งองค์สมเด็จนางพญางิ้วดำ เพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งซึ่งไม่ สะดวกจะออกนามเนื่องจากเขาเป็นคนเจ้าชู้ไม่น้อยซุกชนไปทั่ว ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดกับใครแม้จะมีครอบครัวลูกเมียแล้วก็ตาม วันหนึ่งขณะที่นั่งสมาธิอยู่ในห้องพระอันเงียบกริบ เปิดแต่ไฟสลัวและแอร์เย็นฉ่ำโดยลำพัง
    ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งพูดขึ้นในห้องอย่างใกล้ตัวด้วยเสียงที่ไม่ดังและไม่เบา หากเป็นเสียงที่มีความไพเราะเป็นยิ่งนัก สดใส และกังวาน ราวกับระฆังเงินเนื้อดีว่า
    กำลังจะเป็นเอดส์แล้วนะ
    เจ้าตัวลืมตาขึ้นทันทีด้วยความตกใจสุดขีด หัวใจไหวระทึกอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เพราะเขาอยู่ในห้องโดยลำพังไม่มีใคร ประตูหน้าต่างก็ล็อคลงกลอนปิดแน่นหนาดี แล้วนั่งมาร่วมชั่วโมงก็ไม่มีอะไร แต่เมื่อกี้เสียงใครพูด ?
    ทบทวนไปมาก็นึกไม่ออกว่าจะเป็นใคร ทั้งข้อความที่มาบอกก็น่ากลัวอยู่ไม่น้อย เพราะโรคนี้ใครเป็นก็ตายสถานเดียว ขณะนึกไม่ออกว่าใครพูด ก็เหลือบไปเห็นพระเครื่ององค์น้อยในมือตน ซึ่งใช้กำนั่งสมาธิ
    สมเด็จนางพญางิ้วดำ !
    เป็นเนื้อพิเศษซึ่งแกะจากแก่นไม้องค์เดิมแท้ ๆ อันถือได้ว่าเป็นเนื้อเป็นหนังจากองค์ท่านจริง ๆ ชะรอยหรือนางพญางิ้วดำจะมาเตือนถึงกรรมที่เราล่วงศีลข้อกาเมฯ อยู่เป็นประจำ
    เมื่อคิดไม่ตกก็นำความไปกราบเรียนถามพระเถระผู้เป็นที่เคารพยิ่งคือ หลวงพ่อลำใย สัญญโม วัดสะแก ครั้นเล่าให้ท่านฟังยังไม่ทันจบดี ท่านก็สวนขึ้นทันทีว่า
    ใช่ เขามาจริง เขามาเตือนแก
    ทำให้เพื่อนผมขนลุกซู่ชูชัน แต่ที่น่าช็อคไปกว่านั้นคือ ท่านบอกว่า
    แกเป็นเอดส์จริง ๆ นะ ในขั้นเริ่มต้น
    เมื่อให้สัจจะสัญญาว่าจะไม่ผิดศีลข้อสามอีก หลวงพ่อก็บอกวิธีรักษาให้ ซึ่งเขาก็ซุ่มรักษาตัวโดยอาศัยบารมีหลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อลำใย และสมเด็จนางพญางิ้วดำเป็นหลัก ไม่นานเท่าไร อาการที่เริ่มเป็นหลาย ๆ อย่างก็ค่อย ๆ ทุเลาลงจนหายไป เมื่อไปตรวจเลือดอีกทีก็ไม่ปรากฏว่าเป็นบวก เพื่อนคนนี้จึงให้ความเคารพในหลวงพ่อลำใยและเสด็จแม่นางพญางิ้วดำเป็นอันมาก
    อยู่มาวันหนึ่งพวกเราได้เดินทางขึ้นไปกราบสมเด็จนางพญางิ้วดำเป็นปกติ เรียบร้อยแล้วก็ไปนมัสการ หลวงพ่อพระครูอาคมฯ ที่กุฏิ คุยกันอยู่พักใหญ่เพื่อนคนนี้ก็กระมิดกระเมี้ยนเล่าให้ท่านฟังถึงประสบการณ์ตรงของตน ยังไม่ทันเล่าจบดีท่านก็ออกปากรับรองทันที ว่า "ใช่" ท่านเชื่อว่าสมเด็จนางพญางิ้วดำไปหาเขาจริง เพราะเสียงที่บอกกับเพื่อนคนนี้เป็นเสียงผู้หญิงและไพเราะ มาก
    จากนั้นท่านก็เล่าประสบการณ์เฉียดตายของท่านว่า ท่านเองนั้นเป็นโรคหัวใจ ต้องระวังรักษาอย่างดีและอยู่ในความดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด วันหนึ่งท่านเกิดหัวใจวายไปกะทันหัน ไม่ว่าหมอจะปั๊มหัวใจรักษาท่านอย่างไรก็ไม่เป็นผล
    วินาทีแห่งความเป็นความตายนั้น ท่านนิมิตเห็นแสงสว่างเบื้องหน้า และได้ยินเสียงสตรีนางหนึ่งซึ่งไม่เห็นตัวบอกกับท่านว่า...
    ท่านพระครูไม่ต้องกลัว ข้าพเจ้ามาช่วยท่านเพื่อให้ท่านได้อยู่ทำประโยชน์ให้แก่พระพุทธศาสนาต่อไป ท่านยังไม่ตายหรอก
    แล้วหัวใจท่านก็เต้นขึ้นมา ร่างกายอบอุ่นมีแรงหายใจได้เอง รอดชีวิตมาจนวันนี้ ท่านย้ำว่าเสียงที่พูดในวันนั้นทั้งใสเย็น ทั้งก้องกังวาน และเปี่ยมไปด้วยเมตตา ไพเราะอย่างหาที่เปรียบมิได้ สุดวิสัยที่คนบนโลกนี้จะพูดได้อย่างนั้น หลวงพ่อเล่าอย่างคนซาบซึ้งในบุญคุณจริง ๆ ว่า ท่านเป็นหนี้ชีวิตสมเด็จนางพญางิ้วดำยิ่งนัก
    ฉะนั้น อายุที่เหลือจะขอทำประโยชน์ให้แก่พระศาสนาจนถึงที่สุด แล้วท่านก็ย้ำว่าที่เพื่อนผมได้ยินนั้นได้ยินจริง ท่านไปหาและเตือนถึงภัยที่กำลังเกิดจริง เพราะเสียงที่เพื่อนได้ยินมีลักษณะเหมือนที่ท่านได้ยินทุกประการ
    จากตัวอย่างของบุคคลใกล้ชิดผมอย่างแท้จริง คบหากันมานานร่วมยี่สิบปี คงไม่จำเป็นต้องกล่าวรับรองอะไรให้มากกว่านี้ เอาเป็นว่าผมเชื่อสุด ๆ แค่นี้เป็นเหตุเป็นผลพอไหมที่ผมจะเล่าให้ท่านทั้งหลายฟังถึงมหาปาฏิหาริย์ในองค์ท่าน นี่ต้องยั้งปากไว้ไม่เล่าไปถึงน้องสาวคนสวย ที่เสด็จแม่แสดงอภินิหารดับไฟและเปิดไฟในตำหนักสลับกันตามคำอธิษฐานลองของของเธอ จนเจ้าตัวเองยังกลัวตัวสั่น ต้องร้องกรี๊ดวิ่งออกมาจ้าละหวั่น และยังอีกนับสิบเรื่องซึ่ง "คนของผม" พบเจอ
    เมื่อคนกันเองเจออภินิหาร ผมก็ไม่ต้องสงสัยให้หน้าแก่ก่อนวัย ไม่เหมือนเรื่องอภินิหารที่ "คนของใคร" พบเจออันผมพิสูจน์ด้วยใจไม่ได้ว่าเท็จหรือจริง
    ผมบังคับผู้อ่านให้เชื่อหรือไม่เชื่อไม่ได้ ของอย่างนี้ท่านต้องพิสูจน์ด้วยตัวเอง
    วัตถุมงคลทั้งหมดทางวัดได้จัดทำพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ดังตำรับตำราบังคับถูกถ้วนดีทุกประการ และได้รับการบรรจุพุทธคุณอย่างดีเยี่ยมจากพระเถรานุเถระรวมแล้วหลายร้อยองค์ นับแต่ปี พ.ศ.2511 เป็นต้นมา อาทิ หลวงพ่อมุม วัดปราสาทเยอร์ หลวงปู่อ่อน วัดป่านิโครธาราม หลวงปู่ผาง วัดอุดมคงคาคีรีเขต หลวงปู่หน่าย วัดบ้านแจ้ง พระอาจารย์วัน วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม หลวงปู่เสาร์ วัดกุดเวียน หลวงปู่นิล วัดครบุรี หลวงพ่อคง วัดตะคร้อ หลวงพ่อพุธ วัดป่าสาลวัน และ หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ เป็นต้น
    ใครที่พลาดหวังในวัตถุมงคลของครูบาอาจารย์ดังมีรายนามปรากฏ พระเครื่องที่นี่ได้เก็บจิตตานุภาพของท่านเหล่านั้นไว้เพียบแล้ว นอกจากพระพุทธคุณแห่งพระอริยาจารย์ที่กล่าวมา เรายังได้ฤทธานุภาพจาก "นางพญางิ้วดำ" เทวนารีที่มีอิทธิฤทธิ์และเมตตาอย่างสูงควรแก่การสักการะ ท่านที่เช่าพระบูชา กรุณาระบุไปด้วยว่าให้ส่งวิธีการบูชาพระนางพญางิ้วดำมาด้วย ซึ่งถ้าใครทำได้ตามตำรา ย่อมปรากฏผลศักดิ์สิทธิ์ให้เห็นทันตาจริง ๆ

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    พระนางพญางิ้วดำวัดใหม่บ้านดอน รุ่นพิเศษ ปี๒๕๑๗

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    [​IMG] [​IMG]
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,326
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751388507161.jpg FB_IMG_1751390071086.jpg

    พระปิดตามหาลาภ(จันทร์เพ็ญปี๒๕๕๕ รุ่นแรก)
    หลวงพ่อนงค์
    พระเกจิอาจารย์ดังเมืองกรุง
    สืบสายหลวงปู่โต๊ะวัตถุมงคลดังหลายรุ่น
    วัดบางน้ำชนเหรียญหลวงพ่อโตรุ่นแรกนิยมมาก
    ประสบการณ์แคล้วคาดค้าขายเริ่มหายาก
    ...พระครูสุนทรธรรมาภิรักษ์ หรือ หลวงพ่อนงค์ เจ้าอาวาสวัดบางน้ำชน เจ้าคณะแขวงบุคคโล กรุงเทพฯ ได้ชื่อว่าเป็นพระเกจิชื่อดังเมืองกรุง สืบสายหลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี ปัจจุบันวัตถุมงคลประเภทพระเครื่องและเครื่องรางของขลังที่ท่านอธิษฐานจิตปลุกเสก ได้รับความเป็นนิยมในหมู่ลูกศิษย์ลูกหาและนักสะสม โด่งดังไปแล้วหลายรุ่น
    หลวงพ่อนงค์ ท่านบรรพชาเป็นสามเณร ตรงกับวันศุกร์ที่ 25 เดือน กรกฎาคม พ.ศ 2499 ณ. วัดประดู่ฉิมพลี แขวงท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพ โดยมี่ พระครูวิริยกิตติ หรือ หลวงปู่โต๊ะ เป็นพระอุปัชฌาย์
    อุปสมบท ตรงกับวันเสาร์ที่ 14เดือนพฤษภาคม พ.ศ 2503 ณ วัดโคกหิรัญ จ.พระนครศรีอธุธยา โดยมีพระครูวิริยกิตติ(หลวงปู่โต๊ะ)วัดประดู่ฉิมพลี กทม เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูวิฑิตธรรมภาณ วัดต้นสน จ.อ่างทอง เป็นพระกรรวาจาจารย์และพระอาจารย์สุ่ม วัดโคกหิรัญ จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นพระอนุสาวนาจารย์
    ด้านตำแหน่งการปกครอง พ.ศ. 2512 เป็นเจ้าอาวาสวัดบางน้ำชน พ.ศ. 2552 เป็นเจ้าคณะแขวงบุคโล พ.ศ. 2553 เป็นพระอุปัชฌาย์ พ.ศ.2562 เป็นที่ปรึกษาเจ้าคณะ เขตธนบุรี
    ด้านสมณศักดิ์ พ.ศ.2526 เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นโท พ.ศ. 2536 เป็นพระครูสัญญาบัตร เจ้าอาวาสวัดราษฎร์ ชั้นเอก พ.ศ.2546 เป็นพระครูสัญญาบัตร เทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นเอก พ.ศ.2553 เป็นพระครูสัญญาบัตร เทียบผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวงชั้นพิเศษ กล่าวสำหรับวัดบางน้ำชน เป็นวัดราษฎร์ วัดเก่าแก่สร้างขึ้นสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายมีอายุ ประมาณ200ปี ดูจากลักษณะอุโบสถซึ่งเป็นรูปแบบสมัย กรุงศรีอยุธยา สมัยนั้นนิยมสร้างใช้อิฐก้อนใหญ่
    ส่วนชาวบ้านเดิมเรียกว่า"วัดปากคลอง" เพราะตั้งอยู่ปากคลองบางน้ำชน ซึ่งสายน้ำจากคลองวัดใหม่จีนกัน(วัดกันตทาราราม)ไหลมาชนกันที่คลองบางน้ำชนไหลสู่แม่น้ำเจ้าพระยา จึงตั้งชื่อตามคลองบางน้ำชน ปัจจุบันวัดบางน้ำชน มีพื้นที่7ไร่ 2งานมีอาณาเขตติดกับด้านทิศเหนือติดคลองบางน้ำชน ด้านทิศใต้ศาลาติดกับ บริษัทหวั่งหลี ด้านทิศตะวันออกโรงเรียนติดกับโรงแรมอนันตา(แมริออท)ด้านทิศตะวันตกติดกับบริษัทอีซูซู (ถนนเจริญนคร)
    พื้นที่แบ่งออกเป็น2ส่วนคือ เขตสังฆาวาสมีเนื้อที่5ไร่ ประกอบด้วย อุโบสถ หอระฆัง กุฏิสงฆ์ ศาลาและโรงเรียน ส่วนธรณีสงฆ์ มีพื้นที2ไร่กับ2งานเป็นที่อยู่อาศัยของชุมชน
    พระประธานในอุโบสถ เป็น พระพุทธจักรศรี หรือ หลวงพ่อโต หรือ หลวงพ่อขอม พระพุทธจักรศรี (หลวงพ่อโต)เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นองค์ใหญ่ ซึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยานิยมสร้าง มีไม้สักเป็นแกนกลางลำตัวและเศียรบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และปิดทองคำแท้ ซึ่งพระพักตร์หน้ายักษ์ (หน้าบารมีเมตตา)เป็นลักษณะพระสมัยอู่ทองผสมกับพระสมัยสุโขทัย เพราะในสมัยนั้นมีความอุดมสมบูรณ์ มีความสุข และมีหน้าตักกว้าง3.50เมตร ส่วนสูง4.30เมตร ซึ่งเป็นที่เคารพศรัทธาของชาวบ้านและพุทธศาสนิกชนที่มีความศรัทธรา

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 350 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250701_235110.jpg IMG_20250701_235153.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...