(วันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๑๕ ) สมเด็จพระพุทธกัสสป พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนวิธีหนีอบายภูมิ อย่างง่าย .. ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ ตรัสว่า “ สัมพเกษี วิธีป้องกันนะ การยึดเหนี่ยวสถานที่หรือบุญกุศลที่ได้แล้ว มันเป็นของไม่ยาก พวกเธอจะเรียนกันมากไปนะ เวลาที่เธอเทศน์ก็เทศน์มากไป สอนชาวบ้านก็สอนมากไป แต่การสอนมากก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของคน ก็เป็นของธรรมดานะสัมพเกษีนะ แม้แต่ตถาคตเองก็เหมือนกัน ต้องสอนถึง ๘๔๐๐๐ พระธรรมขันธ์ ทั้งนี้ก็เพราะอัธยาศัย ของคนไม่เหมือนกัน คนกลุ่มนี้พูดอย่างนี้รู้เรื่อง คนกลุ่มโน้นพูดอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง ต้องพูดกันใหม่ เธอกลับลงไปบันทึกเสียงเข้าไว้นะ บอกว่าตถาคตบอกว่าอย่างนี้ ” “ ให้ลูกหลานของเธอทุกคน หรือบริษัทของเธอทุกคน ตั้งใจไว้อย่างฉันพูดนะ การไปสวรรค์ก็ดี การไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดีเป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ยากอย่างที่นักปราชญ์โลกเขาพูดกันเวลานี้ เวลานี้นักปราชญ์ทั้งหลาย นิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยากถือว่ามันดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ว่าฉันเห็นว่านั่นไม่ถูก ถ้าตามคติของฉัน ฉันว่าไม่ถูกต้อง เพราะสอนคนหรือพูดให้คนเข้าใจง่ายนั่นดี และก็วิธีปฏิบัติเพื่อผลที่จะพึงได้ให้ง่ายที่สุดนั่นแหละดี เรียกว่าทำง่ายที่สุดได้ผลมากที่สุด อันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีการที่สอนให้มันยากที่สุดแล้วได้น้อยที่สุด อย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน สัมพเกษี เตือนบริษัท และลูกหลานของเธอว่า ” “ ให้ทุกคนรู้ตัว แล้วว่ามีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจร เวลาที่เขาจะทำความชั่วอะไรมาก็ช่างเถิด เวลาก่อนนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดี แล้วเอาใจนี่จับไว้ว่านี่เรามี วิมานแก้ว ๗ ประการไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาเราจะตาย เราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบาย ไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธรูปก็ได้ พระธรรมก็ได้ พระสงฆ์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วก็ตั้งใจว่า เราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีแล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะ ถ้าตายเขาจะถึงสวรรค์ชั้นกามวจรทันที ” “ พวกที่จะไปพรหมโลก ก็เป็นของไม่ยากนะ สัมพเกษี บอกเขานะว่าคนที่ต้องการไปพรหมโลกน่ะ คืนหนึ่งให้สร้างความดี ๑๐ นาที ตอนกลางวันมันอาจจะเลว เอาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เพียง ๑๐ นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าหายใจออก เท่านี้ก็พอ เวลาตายแล้วเป็นพรหมแน่ ” “ ทีนี้คนไหนคนไหนต้องการ จะไปพระนิพพาน เป็นของไม่ยาก สัมพเกษี ให้เขาคิดเห็นว่า โลกนี้ทั้งโลก ไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร ไม่ชอบอะไรในโลกนี้ แม้แต่ร่างกายของเราเองเราไม่ชอบไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดเวลาหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว ก็ถือว่าโลกนี้ทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันมาคิดถึงกายของตัวเองว่า กายของเรานี้มันยังจะตาย ยังจะพัง เรายังจะปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการ เราจะไปพระนิพพาน เขาคิดเท่านี้น่ะ ” “ เพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะ สัมพเกษี ลูกหลานของเธอทุกคน พ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ อย่างน้อยก็ไปกามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหม อย่างดีก็ไปพระนิพพาน ” นี่ท่านว่าไว้อย่างนี้นะ ลูกหลานที่รักทุกคนได้ยินหรือยัง ถ้าได้ยินละก็จำไว้นะ ท่านสั่งสอนแบบนี้ เป็นการสั่งสอนแบบง่ายๆ นี่เป็นความดีของพระ ของเทวดา ของพรหมนะ ลูกหลานจงจำไว้นะ…ลูกหลานเข้าใจแล้วใช่ไหม จำไว้นะ ทำตามที่พระท่านสั่งนะ ทำแบบสบาย ๆ อย่าลืมนะ “ เวลาป่วยไข้ไม่สบายไม่ต้องไปนึกถึงอะไร นึกถึงวิมานบนสวรรค์ นึกถึงวิมานบนพรหม นึกถึงพระนิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่ง ” ... (จาก หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า ๑๖๕ – ๑๖๗)