บทความให้กำลังใจ(รับมือกับอารมณ์ที่มาเยือน)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,683
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,080
    ดูแลใจให้ดี
    พระไพศาล วิสาโล
    มีพุทธภาษิตบทหนึ่ง พระพุทธเจ้าตรัสเป็นอุปมาอุปมัยว่า “เมื่อมือไม่มีแผล บุคคลจะจับต้องยาพิษก็ได้ ยาพิษนั้นไม่สามารถทำอันตรายได้” ความหมายของพุทธภาษิตนี้ใกล้เคียงกับสำนวนไทยสำนวนหนึ่งคือ “ตบมือข้างเดียวไม่ดัง” ตบมือข้างเดียวไม่ดังหมายความว่า ทำฝ่ายเดียวย่อมไม่เกิดผล เช่นเมื่อมีการทะเลาะวิวาทกัน ถ้ามีแค่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งต่อว่าด่าทอ อีกฝ่ายหนึ่งเงียบ การทะเลาะวิวาทก็เกิดขึ้นไม่ได้ การทะเลาะวิวาทจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายต่างตอบโต้กัน เหมือนกับยาพิษจะก่อให้เกิดผลเสียถึงขั้นเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ ก็ต่อเมื่อจับต้องด้วยมือที่มีแผล

    พุทธภาษิตนี้มีความหมายว่า อะไรก็ตามจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยปัจจัยสองประการ เรียกว่าปัจจัยไกลกับปัจจัยใกล้ หรือปัจจัยภายนอก กับปัจจัยภายใน ปัจจัยไกลคือยาพิษ ปัจจัยใกล้คือมือที่มีแผล ถ้าปัจจัยใกล้ไม่เกื้อกูล ปัจจัยไกลหรือปัจจัยภายนอก คือยาพิษก็ทำอะไรไม่ได้ ในทำนองเดียวกัน ต้นไม้จะงอกขึ้นมาได้ นอกจากอาศัยน้ำ อากาศ ความชื้น และอุณหภูมิที่พอเหมาะสมแล้ว ยังต้องอาศัยเมล็ดพันธุ์ที่มีเชื้อหรือมียางด้วย ถ้าอากาศ อุณหภูมิ และความชื้นพอเหมาะ แต่เมล็ดนั้นแห้งตายไปแล้วหรือไม่มีเชื้อไม่มียาง ก็ไม่สามารถเติบโตเป็นต้นกล้าหรือต้นไม้ใหญ่ได้

    ความสุขและความทุกข์ก็เช่นเดียวกัน ต้องอาศัยทั้งปัจจัยไกลและปัจจัยใกล้ อาศัยทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน เช่น อาหารที่อร่อย เพลงที่ไพเราะ หรือเสื้อผ้าที่สวยงาม มันจะให้ความสุขแก่เราได้ ก็ต่อเมื่อเรามีความอยาก คือไม่เพียงแค่ได้เสพหรือได้เป็นเจ้าของเท่านั้น อาหารอร่อยแต่ไม่ได้กินก็เท่านั้น ครั้นได้กิน ได้เสพ หรือได้สวมใส่ก็ใช่ว่าจะมีความสุขโดยอัตโนนัติ จะมีความสุขได้ต้องมีปัจจัยภายในด้วย นั่น คือความอยาก

    อาหารอร่อยถ้าไม่มีความอยาก กินไปก็ไม่มีความสุข ที่ไม่มีความอยากอาจเป็นเพราะอิ่มแล้ว หรือไม่ก็กำลังครุ่นคิดเรื่องการงาน หรือเศร้าโศกถึงคนรักที่เพิ่งตายจาก ต่อเมื่อมีความอยาก จึงจะมีความสุขเมื่อได้กิน ด้วยเหตุนี้ภัตตาคารใหญ่ ๆ หรู ๆ จึงมีการกระตุ้นความอยาก หรือเรียกน้ำย่อย ด้วยอาหารเบา ๆ ก่อน เพลงที่ไพเราะก็เช่นกัน แม้บรรเลงด้วยนักดนตรีฝีมือดี แต่คนฟังไม่อยากฟัง เพราะกำลังครุ่นคิดกับงาน ฟังอย่างไรก็ไม่มีความสุข

    แม้กระทั่งความสัมพันธ์ทางเพศที่ใครๆ คิดว่าเป็นยอดของความสุข ยิ่งกว่าได้ฟังเพลงไพเราะ กินอาหารอร่อย แต่ถ้าไม่มีความอยาก ไม่มีอารมณ์เสียแล้ว เสพไปก็ไม่มีความสุข อาจรู้สึกเบื่อด้วยซ้ำ คู่สมรสบางคนมีเพศสัมพันธ์เพียงเพราะเห็นว่าเป็นหน้าที่ บางคนชอบเพศเดียวกัน แต่ต้องหลับนอนกับคู่ครองที่เป็นเพศตรงข้าม เขาย่อมไม่รู้สึกมีความสุขเพราะไม่มีความอยาก

    ความทุกข์ใจก็เช่นเดียวกัน ต้องอาศัยทั้งปัจจัยภายนอกและปัจจัยภายใน นั่นหมายความว่า คำต่อว่าด่าทอ เสียงดัง แดดร้อน ทำให้ทุกข์ใจไม่ได้ ถ้าใจเราไม่ไปร่วมมือด้วย หากว่ามีคนตะโกนด่า แต่เราไม่สนใจ ไม่นำพา เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา จะเกิดความโกรธได้ไหม ความโกรธเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าใจเราไม่เอาคำเหล่านั้นมาเป็นอารมณ์ หรือหวนระลึกนึกถึงคำเหล่านั้น การกระทำก็เช่นเดียวกัน แม้จะมีคนมากลั่นแกล้ง เอาเปรียบ รบกวน รังควาน แต่ถ้าเราไม่เก็บเอามาคิด ไม่นำพาไม่สนใจ ความทุกข์ใจก็เกิดขึ้นไม่ได้ ดังนั้นเมื่อไรก็ตามที่เรามีความทุกข์ใจ จะโทษรูปที่เห็น โทษเสียงที่ได้ยิน โทษใครต่อใครที่รู้จักอย่างเดียวไม่ได้ มันต้องโทษที่ใจเราด้วย เป็นเพราะใจเรามีส่วนร่วม ไปสมยอมเปิดทางอนุญาตให้สิ่งเหล่านั้นเข้ามาสร้างความทุกข์ใจให้กับเรา
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,683
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,080
    (ต่อ)
    ก้อนหินใหญ่แค่ไหนก็ตาม ถ้าเราไม่แบกจะเป็นทุกข์ไหม จะเหนื่อยไหม จะรู้สึกหนักไหม หนามแหลมเพียงใด ถ้าเราไม่เผลอเดินเตะ เราจะปวดไหม หินก้อนหนักๆ ทำให้เราทุกข์ไม่ได้ ถ้าเราไม่ไปแบกมัน หนามแหลมๆ ทำให้เราปวดไม่ได้ถ้าเราไม่เดินเตะมัน เมื่อรู้สึกหนักหรือรู้สึกปวด เราจะโทษก้อนหินหรือหนามแหลมอย่างเดียวไม่ได้ ต้องกลับมาดูว่าเป็นเพราะเรามีส่วนด้วย พูดอีกอย่างก็คือไม่มีใครยัดเยียดความทุกข์ให้เราได้ ถ้าเราไม่ยินยอม ไม่มีใครขโมยความสุขไปจากเราได้ ถ้าหากเราไม่เออออห่อหมกด้วย

    เคยมีนายตำรวจใหญ่คนหนึ่งไปปรึกษาปัญหาชีวิตกับหลวงพ่อชา สุภัทโท สมัยนั้นราว ๔๐ ปีก่อนท่านยังไม่อาพาธ นายตำรวจคนนี้เป็นคนซื่อสัตย์มาก แต่ถูกกลั่นแกล้ง เจ้านายไม่ส่งเสริม เพื่อนร่วมงานขัดแข้งขัดขา นอกจากเลื่อยขาเก้าอี้ ยังเล่นงานข้างหลังเพราะไม่กินตามน้ำเหมือนคนอื่นเขา เขากลุ้มใจมากก็มาระบายกับหลวงพ่อชา หลวงพ่อก็ฟังโดยไม่ได้ว่าอะไร ท่านปล่อยให้เขาพูดจนจบ เสร็จแล้วท่านก็ชี้ไปที่หินก้อนใหญ่ที่อยู่ในลานหน้ากุฏิท่าน แล้วถามว่า “เห็นหินก้อนนั้นไหม” “เห็นครับ” “หินก้อนนั้นหนักไหม” “หนักครับ” “คุณแบกไหวไหม” “แบกไม่ไหวครับ” แล้วท่านก็บอกว่า “ถ้าไม่ไหวก็อย่าแบกมัน”

    ได้ยินเพียงเท่านี้นายตำรวจคนนั้นก็ได้คิดเลยว่า ที่ตัวเองทุกข์ก็เพราะแบกเรื่องราวต่าง ๆ เอาไว้นั่นเอง เรื่องราวเหล่านี้ไม่สามารถทำให้ตนเองเป็นทุกข์ได้หากไม่ไปแบกเอาไว้ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ก็รู้สึกโปร่งโล่งขึ้นมาก ทำให้มีแรงทำงานต่อไป ปัญหาในที่ทำงานยังคงมีอยู่ แต่ใจไม่ทุกข์แล้ว เพราะไม่ไปแบกมัน นายตำรวจคนนี้จึงรับราชการต่อจนเกษียณ

    เห็นไหมว่าเมื่อมีความทุกข์ใจเกิดขึ้น มันไม่ใช่เป็นเพราะคนนั้นคนนี้ทำอะไรไม่ถูกใจหรือกลั่นแกล้งเราอย่างเดียว แต่เป็นเพราะใจเราให้ความร่วมมือด้วยการแบกมันเอาไว้ เลยกลายเป็นการซ้ำเติมตนเอง

    เสียงดัง ถ้าเราไม่จดจ่อใส่ใจ ความรำคาญก็เกิดขึ้นไม่ได้ เมื่อหลายสิบปีก่อนหลวงปู่บุดดา ถาวโรได้รับนิมนต์ให้ไปฉันเพลที่กรุงเทพฯ เมื่อฉันเสร็จญาติโยมก็นิมนต์ให้หลวงพ่อจำวัดพักผ่อนก่อน เพราะสมัยนั้นการเดินทางไปสิงห์บุรีใช้เวลาหลายชั่วโมง หลวงปู่ก็ชรามากแล้ว เจ้าภาพจึงจัดห้องให้ท่านพัก มีลูกศิษย์หลายคนนั่งอยู่เงียบ ๆ เป็นเพื่อนท่าน

    บังเอิญห้องที่ติดกันเป็นร้านขายของชำ เจ้าของร้านเป็นอาซิ้ม คนจีนสมัยก่อนจะสวมเกี๊ยะไม้ ไม่ได้สวมรองเท้าแตะเหมือนสมัยนี้ ดังนั้นเวลาเดินเสียงก็ดังเข้ามาถึงห้องที่หลวงปู่จำวัดอยู่ ลูกศิษย์ได้ยินก็รำคาญ จึงพูดขึ้นมาว่า “เดินเสียงดังจัง ไม่เกรงใจกันเลย” หลวงปู่แม้จะเอนกายแต่ท่านไม่หลับ เมื่อได้ยินเช่นนั้นก็พูดขึ้นมาเบาๆ ว่า “เขาเดินของเขาอยู่ดีๆ เราเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาเอง”

    หลวงปู่บุดดาบอกเป็นนัยว่า เสียงเกี๊ยะจะดังอย่างไร ถ้าไม่เอาหูไปรองเกี๊ยะ ก็ไม่รู้สึกรำคาญ ดังนั้นเวลารู้สึกรำคาญขึ้นมา อย่าไปโทษเสียงอย่างเดียว ต้องโทษตัวเองด้วยว่าเอาหูไปรองเกี๊ยะเขาทำไม

    ทีนี้ก็น่าคิดว่าทำไมถึงเอาหูไปรองเกี๊ยะ คำตอบก็คือไม่มีสติ เมื่อไม่มีสติ หูก็จะหาเรื่อง ตาก็จะหาเรื่อง เพราะว่าเมื่อไม่มีสติ ก็จะลืมตัว เมื่อลืมตัว หูและตา รวมทั้งใจด้วย ก็จะไปหาความทุกข์มาใส่ตัวทันที ได้ยินเสียงอะไร ไม่ว่าเสียงเกี๊ยะ เสียงรถยนต์ เสียงต่อว่าด่าทอ ใจก็จะไปเอาคว้าเสียงเหล่านั้นมาเล่นงานตัวเอง หรือเปิดทางให้สิ่งเหล่านั้นมาทำร้ายจิตใจได้

    ทีนี้พอทุกข์แล้วก็ยังไม่รู้ตัวอีก ยังทำร้ายตัวเองต่อไป เหมือนคนที่แบกหิน ตอนแรกแบกเพราะลืมตัว พอแบกแล้วรู้สึกหนัก แต่ทั้ง ๆ ที่รู้สึกหนักก็ยังไม่ยอมปล่อย ยังแบกต่อเพราะอะไร เพราะลืมตัว เหมือนเวลาได้ยินใครพูดตำหนิติเตียน ทั้งๆ ที่คำพูดของเขาหายไปกับสายลมแล้ว ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ใจเราก็ยังเก็บเอามาคิด พอคิดแล้วก็ทุกข์ โกรธใจร้อนผ่าว แต่ก็ยังไม่ยอมเลิกคิด ยังคิดอยู่นั่นแหละ คิดซ้ำไปซ้ำมา

    เวลามีคนเขียนด่าเราทางเฟสบุ๊คหรือทางไลน์ ทั้ง ๆ ที่ไม่พอใจ แต่ก็ยังกลับมาอ่านซ้ำไปซ้ำมาอยู่นั่นแหละ เมื่อวานอ่านแล้ว วันนี้ก็ยังอ่านอีก อ่านเช้าอ่านบ่าย อ่านแต่ละครั้งก็ขุ่นเคืองแต่ก็ยังไม่เลิกอ่าน นั่นเป็นเพราะลืมตัว เวลามีคนเขียนชมเรา เราอาจอ่านแค่ไม่กี่ครั้ง แต่พอมีคนเขียนด่า เรากลับอ่านแล้วอ่านอีกอยู่นั่นแหละ นี่เรียกว่า ยิ่งเกลียด ยิ่งผลักไส ก็ยิ่งยึดติด ตอนที่เผลออ่านครั้งแรกแล้วขุ่นเคืองใจขึ้นมาอันนี้เข้าใจได้เพราะไม่รู้ แต่ถ้ารู้แล้วยังอ่านแล้วอ่านอีก อย่างนี้เรียกว่าลืมตัวไม่มีสติ

    ความทุกข์ใจเกิดขึ้นเพราะเราเปิดทางให้ความทุกข์มาเล่นงานใจเรา แล้วก็ยังทำอย่างนั้นซ้ำซากเพราะความไม่รู้ตัวไม่มีสติ ยิ่งลืมตัวก็ยิ่งทำร้ายตัวเอง หรือยิ่งลืมตัวก็ยิ่งเปิดทางให้สิ่งต่างๆ เข้ามาทำร้ายตัวเราเอง อาจารย์ชยสาโรเคยพูดไว้ว่า “โลกนี้ไม่มีสิ่งใด ไม่มีคนใด จะบังคับให้เราทุกข์ได้ มีแต่สิ่งที่ชวนให้เราทุกข์ ชวนให้เราพอใจ ชวนให้เราไม่พอใจเมื่อเขามาชวนให้เราทุกข์ ชวนให้เราไม่พอใจ อยู่ที่เราจะรับคำชวนหรือเปล่า เราเลือกได้ที่จะไม่รับคำเชิญชวนจากเขา ในเมื่อเราเลือกได้แต่เราไม่เลือก เราเลือกที่จะปฏิเสธได้แต่เราไม่ปฏิเสธ เรารับคำเชิญชวนของเขาเอง ทีนี้จะโทษใครดี ต้องโทษตัวเองด้วย เพราะไปรับคำเชิญชวนของเขาทำไม

    ดังนั้นทุกครั้งที่เราทุกข์ใจอย่าเพิ่งโทษสิ่งภายนอกตะพึดตะพือ ให้กลับมาดูใจเราด้วยว่าใจเราไปเปิดทางยินยอมหรือผสมโรงให้ความทุกข์ต่างๆ จากภายนอกเข้ามาเล่นงานใจเราหรือเปล่า ถ้าจะตอบอย่างฟันธงก็คือ ใช่ ฉะนั้นถ้าเราไม่อยากทุกข์ใจ ก็อย่ามัวเรียกร้องคนโน้นคนนี้ให้พูดดีๆ กับเรา อย่าทำสิ่งที่ไม่ดีกับเรา อันนั้นมันเป็นไปได้ยาก เราควบคุมบังคับบัญชาคนอื่นไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือดูแลใจเราให้ดี อย่าเปิดช่องให้ความทุกข์หรือสิ่งเลวร้ายเข้ามาเล่นงานจิตใจเราได้ คนอื่นเขาทำได้อย่างมากก็แค่ต่อว่าด่าทอเรา ขโมยเงินเรา โกงเงินเรา เอาทรัพย์สินของเราไป หรือแม้กระทั่งทำร้ายร่างกายเรา แต่ว่าเขาไม่สามารถทำให้เราทุกข์ใจได้ แต่ที่เราทุกข์ใจก็เพราะเราทำตัวเอง หรือใจเรานั่นแหละเข้าไปปรุงแต่งผสมโรง

    เงินหายก็หายแต่ของ ใจไม่เสีย เราทำได้ หรือว่าถูกทำร้ายร่างกายแต่ใจไม่ทุกข์ เราก็ทำได้เช่นกัน ขอเพียงแต่ดูแลรักษาใจให้ดีเท่านั้น
    :- https://visalo.org/article/suksala29.html
     
  3. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,683
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,080
    คู่แข่งที่แท้จริง
    By : รินใจ
    ทุกปีในสหรัฐอเมริกาจะมีการประกวดแข่งขันสะกดคำโดยจำกัดเฉพาะเด็กอายุต่ำกว่า ๑๖ ปี งานนี้เป็นงานระดับชาติ มีเด็กมาร่วมแข่งขันถึง ๑๐ ล้านคน และมีการถ่ายทอดสดทั่วประเทศในรอบสุดท้าย

    ปีนี้ผู้ที่ฝ่ามาถึงรอบสุดท้ายมีเพียง ๑๓ คน ซามีร์ ปาเตล วัย ๑๒ ขวบ ซึ่งปีที่แล้วได้อันดับ ๒ เป็นตัวเต็งอันดับ ๑ ส่วนอันดับ ๒ คือราชีพ ทาริโกพูลา ซึ่งได้ที่ ๔ เมื่อปีที่แล้ว


    ชัยชนะน่าจะเป็นของซามีร์ แต่แล้วเขาก็พลาดเมื่อเจอคำว่า eramacausis (แปลว่าอะไร โปรดหาจากพจนานุกรมเล่มใหญ่ ๆ เอาเอง) การตกรอบของซามีร์ ทำให้ราชีพเป็นตัวเต็งอันดับ ๑ ทันที

    มีนักข่าวคนหนึ่งถามราชีพว่า ดีใจไหมที่คู่ปรับตกรอบไป คำตอบของราชีพก็คือ “ไม่ครับ นี่เป็นการแข่งขันกับ คำ ไม่ใช่กับ คน ครับ”

    ไม่ทันขาดคำ เสียงตบมือก็ดังก้องห้องประชุม

    คำตอบของราชีพคงทำให้ผู้ใหญ่หลายคนได้คิด ใช่หรือไม่ว่าเวลาเราแข่งขันในเรื่องอะไรก็ตาม เรามักจะมองเห็นผู้ร่วมแข่งขันเป็นปรปักษ์หรือฝ่ายตรงข้าม ในใจจึงอยากให้เขามีอันเป็นไป เพื่อเราจะได้เป็นผู้ชนะแต่ผู้เดียว หารู้ไม่ว่าลึก ๆ ความอิจฉาและพยาบาทกำลังก่อตัวขึ้น ดังนั้นแข่งไปจึงทุกข์ไป แข่งเสร็จแล้วก็ยังทุกข์อีกที่เห็นคนอื่นเก่งกว่าตน

    แต่สำหรับราชีพ แม้การแข่งขันจะดุเดือดอย่างไร เขาไม่ได้มองไปที่คน แต่มองไปที่คำ สำหรับเขาความท้าทายอยู่ที่การต่อสู้กับคำยาก ๆ คำยากทุกคำคือปริศนาที่เขาต้องถอดออกมาเป็นตัว ๆ ให้ได้ เมื่อใจไปจดจ่ออยู่ที่คำเหล่านี้ เขาจึงไม่ยินดียินร้ายที่ผู้ร่วมแข่งขันจะไปหรืออยู่

    แม้ว่าในที่สุดราชีพจะได้เป็นที่ ๔ (เพราะแพ้คำว่า Heiligenschein) แต่อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ทุกข์เพราะเกลียดหรืออิจฉาคนที่เก่งกว่าเขา คงมีแต่ความมุ่งมั่นที่จะศึกษาค้นคว้าให้หนักขึ้นเพื่อพิชิตคำยาก ๆ ในปีหน้า ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปีหน้าเขาต้องฉลาดกว่าปีนี้แน่ มองในแง่นี้ แม้เขาจะ “แพ้” แต่เขาไม่ขาดทุนเลย กลับมีกำไรด้วยซ้ำ

    มุมมองของราชีพนั้น ไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะในยามแข่งขันเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าสำหรับการดำเนินชีวิตและสัมพันธ์กับผู้คนด้วย ใช่หรือไม่ว่า ในชีวิตประจำวัน เมื่อเราถูกวิพากษ์วิจารณ์ ใจเรามักจะพุ่งตรงไปยังคนวิพากษ์วิจารณ์ แต่ไม่ค่อยสนใจคำวิพากษ์วิจารณ์เท่าใดนัก ดังนั้นแม้ว่าคำวิพากษ์วิจารณ์จะถูกต้อง ให้แง่คิดที่ดี เพียงใดก็ตาม แต่เราไม่สนใจที่จะไตร่ตรองเสียแล้ว เพราะใจนั้นเต็มไปด้วยความเกลียดและโกรธคนที่วิพากษ์วิจารณ์เรา

    ถ้าเราหันมาใส่ใจกับคำวิพากษ์วิจารณ์กันให้มากขึ้น และสนใจให้น้อยลงกับการตอบโต้เพื่อเอาชนะคะคานคนที่วิพากษ์วิจารณ์ นอกจากเราจะทุกข์หรือโกรธเกลียดน้อยลงแล้ว เรายังมีโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากคำวิพากษ์วิจารณ์นั้นด้วย โดยเฉพาะหากเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์ที่ถูกต้อง ด้วยท่าทีเช่นนี้ เราจะได้กำไรสถานเดียว คุณเล็ก วิริยะพันธุ์ ผู้ก่อตั้งเมืองโบราณ ถึงกับบอกว่า วันไหนไม่ได้รับคำตำหนิ วันนั้นถือเป็นอัปมงคลเลยทีเดียว

    เวลาทำงานก็เช่นกัน ถ้าเรามองว่านี้เป็นการต่อสู้ปลุกปล้ำกับงาน เราจะไม่เดือดร้อนที่คนอื่นทำได้ดีกว่าเรา ใครจะดีจะเก่งก็เป็นเรื่องของเขา เพราะในใจนั้นนึกอยู่เสมอว่า “ฉันกำลังแข่งขันกับงาน ไม่ใช่แข่งขันกับคนอื่น” นอกจากจะไม่อิจฉาเขาแล้ว ยังพยายามเรียนรู้จากเขาว่ามีวิธีการอย่างไร เพื่อเอาไปใช้ในการพิชิตงานที่กำลังทำอยู่ หรือทำให้งานนั้นดีขึ้น

    มองให้ลึกลงไปแล้ว คนไม่ใช่คู่แข่งของเรา กิเลสตัณหา ความเห็นแก่ตัว หรือความหลงตนต่างหากที่เป็นคู่แข่งของเรา แทนที่จะสู้กับใครต่อใคร เราควรหันมาสู้กับอกุศลธรรมในตัวเราดีกว่า ที่แล้วมาเราต่อสู้กับใครต่อใครมากแล้ว แต่ไม่ได้ต่อสู้กับอกุศลธรรมเหล่านี้ เราจึงทุกข์ไม่เว้นแต่ละวัน

    ถึงที่สุดแล้ว แม้แต่คนที่คิดร้ายต่อเรา เขาก็ไม่ได้เป็นศัตรูของเรา ความโกรธเกลียดหรือความเห็นแก่ตัวในใจเขาต่างหาก ที่เป็นศัตรูของเรา สิ่งที่เราควรจัดการคือความชั่วร้ายในใจของเขา มิใช่จัดการตัวเขา ด้วยวิธีนี้เท่านั้นที่เราจะปลอดภัยและมีชีวิตที่สงบสุขอย่างแท้จริง เพราะการขจัดศัตรูที่ดีที่สุดคือเปลี่ยนเขามาเป็นมิตร

    แล้วอะไรล่ะที่จะเปลี่ยนศัตรูมาเป็นมิตรได้ หากมิใช่การใช้ความดีชนะใจเขา
    :- https://visalo.org/article/kidFamily254906.htm

     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,683
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,080
    BuddhaAndOneMan.jpg
    มหัศจรรย์ของชีวิตขาลง
    By : รินใจ
    หลังจากเกษียณจากราชการก่อนกำหนด ประมวล เพ็งจันทร์ ได้ทำสิ่งที่ไม่มีใครเคยทำมาก่อน นั่นคือเดินเท้าจากเชียงใหม่กลับไปยังบ้านเกิดที่เกาะสมุย เป็นการจาริกที่ไม่มีเงินติดตัวเลยสักสลึงเดียว หากฝากชีวิตไว้กับน้ำใจของเพื่อนมนุษย์ตามเส้นทางที่ยาวเหยียดร่วม ๑,๕๐๐ กิโลเมตร

    ตลอด ๖๖ วันของการเดินทาง เขาได้พานพบประสบการณ์มากมายที่ตราตรึงใจ และให้บทเรียนล้ำค่าแก่ชีวิต หนึ่งในนั้นได้แก่ตอนที่เดินขึ้นและลงจากดอยอินทนนท์

    เขาเล่าว่าขณะที่เดินขึ้นดอยอินทนนท์นั้น รู้สึกเหนื่อยมาก ความย่ำแย่ของสภาพร่างกายที่สะสมมากหลายวันทำให้เกือบจะถอดใจเพราะหายใจแทบไม่ออก รู้สึกเหมือนจะขาดใจตาย จนต้องนอนแผ่แน่นิ่ง ทั้ง ๆ ที่เหลือเพียงกิโลเมตรกว่า ๆ เขาคงจะอยู่ตรงนั้นอีกนาน หากไม่มีรถคันหนึ่งจอดรับเขาขึ้นไปถึงยอด

    ขากลับเขาเดินลงมาช้า ๆ แล้วเขาก็เพิ่งสังเกตว่าสองข้างทางนั้นมีสิ่งสวยงามอยู่มากมาย ไกลออกไปก็เป็นทิวทัศน์ที่ชวนพินิจ แต่ทั้งหมดนั้นเขาไม่ทันได้มองเลยขณะที่เดินขึ้นเขา เพราะใจนึกถึงแต่ยอดดอย อยากจะไปให้ถึงจุดหมายอย่างเดียว

    ระหว่างเดินลงเขาได้หยุดดูทิวทัศน์อันกว้างไกล และชื่นชมกับธรรมชาติอันงดงามสองข้างทาง จิตใจเบิกบานและเป็นสุขอย่างยิ่ง แม้ตอนนั้นร่างกายจะเจ็บปวดก็ตาม “มหัศจรรย์” คือความรู้สึกของเขาเมื่อย้อนระลึกนึกถึงประสบการณ์ยามลงเขา

    “ขาลง”นั้นมีเสน่ห์แต่มักถูกมองข้าม คนส่วนใหญ่มักให้ความสำคัญกับ “ขาขึ้น”มากกว่า เพราะมั่นใจว่ามีสิ่งใหม่ ๆ ที่ดึงดูดใจคอยอยู่ข้างบน ไม่ใช่แค่ทะเลหมอกหรือทิวทัศน์อันงดงามที่เห็นชัดเจนจากยอดดอยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความสำเร็จ ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ยามขึ้นถึงจุดสูงสุดของชีวิต

    ใคร ๆ ก็อยากให้ชีวิตของตนอยู่ในช่วงขาขึ้น เพราะหวังจะได้เสพได้ครอบครองอะไรอีกมากมายที่ยังไม่เคยประสบสัมผัส แต่น่าคิดว่ามีสักกี่คนที่เป็นสุขอย่างแท้จริงในช่วงขาขึ้น ใช่หรือไม่ว่า ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความเครียด เพราะใจนั้นกังวลแต่จุดหมายปลายทาง และกลัวว่าจะไปไม่ถึง แถมยังหงุดหงิดหากเห็นใครแซงไปต่อหน้าต่อตา และเป็นทุกข์มากขึ้นเมื่อมีคนถึงจุดหมายปลายทางก่อน โดยเฉพาะคนที่ออกเดินพร้อมกับตัวเอง

    ความเหนื่อยอ่อนบอบช้ำของประมวลยามเดินขึ้นเขา คงไม่ต่างจากหลายคนที่กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ยิ่งเร่งจะให้ถึงจุดหมายปลายทางมากเท่าไร ก็ยิ่งเหนื่อยมากเท่านั้น บางคนไปไม่ถึงเพราะหมดแรงเสียก่อน ต้องพักรักษาตัวกว่าสังขารจะอำนวย แต่บางคนก็ต้องยุติการเดินทางแต่เพียงเท่านี้

    อันที่จริงประสบการณ์ยามขาขึ้นไม่จำเป็นต้องเต็มไปด้วยความทุกข์ แม้จะยังไม่ถึงเป้าหมาย แต่อย่าลืมว่าสองข้างทางนั้นก็อุดมไปด้วยสิ่งต่าง ๆ มากมายที่ให้ความสุขแก่เราได้ตลอดเวลา ประมวลมาค้นพบความจริงข้อนี้ยามเดินลงเขา แต่ถ้าใจเราไม่จดจ่อกับเป้าหมายข้างหน้ามากเกินไป ในช่วงขาขึ้นเราก็สามารถเป็นสุขได้ หากรู้จักชื่นชมสิ่งดี ๆ ตามรายทางบ้าง

    ความสุขนั้นมีอยู่รอบตัว แต่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น เพราะใจจดจ่อแต่ความสำเร็จที่รออยู่ข้างหน้า ผลก็คือขณะที่ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง เรากลับละทิ้งความสุขที่มีอยู่รอบตัว ทั้ง ๆ ที่เป็นสิทธิของเราโดยชอบธรรม กลายเป็นว่าเสียสองต่อ

    จะไม่ดีกว่าหรือ ขณะที่ยังไปไม่ถึงจุดหมายปลายทาง เราก็เปิดใจชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่มีอยู่รอบตัวหรือตามรายทาง แม้ความสุขข้างหน้ายังมาไม่ถึง แต่เราก็ได้สัมผัสกับความสุขที่มีอยู่แล้วทุกขณะ

    แต่ถึงจะพลาดโอกาสนั้นไป ก็ยังไม่สาย เพราะขาลงเราก็ยังสามารถชื่นชมสิ่งดี ๆ ที่ให้ความสุขและความเบิกบานใจแก่เราได้ แต่นั่นหมายความว่าเราต้องไม่ห่วงหาอาลัยความสำเร็จที่กลายเป็นอดีตไปแล้ว หากยังมัวนึกถึงประสบการณ์อันตราตรึงใจบนยอดเขาที่ผ่านพ้นไปแล้ว ใจเราจะเปิดรับความสุขตามรายทางในยามขาลงได้อย่างไร

    ขาลงไม่ใช่ประสบการณ์อันน่าเศร้า หากเราเดินลงอย่างช้า ๆ และหัดพินิจพิจารณา เราจะมีความสุข เป็นสุขที่อาจจะยิ่งกว่าช่วงขาขึ้นหรือเมื่อถึงจุดสูงสุดของการเดินทางเสียอีก เพราะใจเป็นอิสระจากความคาดหวังทั้งปวง

    ในยามนี้แหละที่เราอาจพบกับ “มหัศจรรย์” ของชีวิต ที่ไม่เคยนึกฝันมาก่อน
    :- https://visalo.org/article/kidFamily254908.htm

     
  5. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,683
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,080
    รื่นรมย์บนผาสูง
    รินใจ
    bhutan01.jpg
    ปาโรเป็นประตูสู่ภูฐานที่สามารถสะกดนักท่องเที่ยวต่างชาติได้อย่างชะงัด จากดินแดนแห่งความแน่นขนัดอึกทึกวุ่นวายและเร่งรีบในหลายมุมโลก พอออกจากสนามบินปาโร ทุกคนจะได้สัมผัสกับหุบเขาและทุ่งกว้างที่เงียบสงบ มีธารน้ำไหลเอื่อย พอ ๆ กับชีวิตที่เนิบช้าของผู้คน ฟ้าสวย แดดใส อากาศบริสุทธิ์ คือสิ่งที่ปรากฏแก่เราอย่างแจ่มชัดในเช้าวันแรกที่ภูฐาน

    ปาโรเป็นหุบเขาที่งดงาม มีบ้านเรือนกระจัดกระจายอยู่เป็นหย่อม ๆ ในทุ่งราบเขียวสด บ้านเรือนเหล่านี้มิได้เป็นกระท่อมอย่างที่พบเห็นในชนบทส่วนใหญ่ หากเป็นอาคารสองชั้นที่สร้างอย่างมั่นคงแน่นหนา ทั้งยังมีลวดลายศิลปะงดงามโดยเฉพาะที่ขอบหน้าต่างชั้นบน แม้ว่าศิลปะเช่นนี้มีให้เห็นทั่วภูฐาน แต่ที่ปาโรนั้นมีลักษณะโดดเด่นกว่า กล่าวกันว่าหากต้องการเห็นบ้านเรือนที่สวยงามที่สุดในประเทศต้องมาดูที่หุบเขาปาโร

    ปาโรอยู่ห่างจากทิมพู เมืองหลวงภูฐาน ประมาณ ๕๐ กม. แต่ปาโรเป็นมากกว่าปากทางสู่ราชธานี แม้จะเป็นเมืองเล็ก ๆ แต่ก็มีความสำคัญอย่างมากในทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม เชื่อกันว่าปาโรเป็นสถานที่แห่งแรก ๆ ที่รับเอาพุทธศาสนาเข้ามา นอกจากนั้นปาโรยังมีป้อมโบราณที่งดงาม ป้อมที่เรียกว่า “ซ่ง”นี้เป็นเอกลักษณ์ของภูฐาน เพราะนอกจากเป็นศูนย์กลางการบริหารและการปกครองของพื้นที่โดยรอบ (เปรียบได้กับศาลาว่าการจังหวัดของบ้านเรา) ยังเป็นศูนย์กลางการปกครองคณะสงฆ์ในพื้นที่ดังกล่าว (เปรียบได้กับวัดของเจ้าคณะจังหวัด) พูดง่าย ๆ คือเป็นทั้งป้อมและอารามผนวกอยู่ด้วยกัน ภูฐานมีซ่งแบบนี้อยู่ทั่วประเทศ แต่ปาโรซ่งนั้นได้รับการยกย่องว่ามีเครื่องไม้ที่งามที่สุดในภูฐาน โดยเฉพาะที่หอกลาง

    แต่ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่มีอะไรโดดเด่นเท่ากับวัดตักซัง ซึ่งถือกันว่าเป็นศูนย์รวมจิตวิญญาณของชาวภูฐาน อีกทั้งยังเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งในเทือกเขาหิมาลัย ที่แม้แต่ชาวธิเบตก็ยังดั้นด้นข้ามเขาเพื่อมาสักการะอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ทุกวันนี้แม้กระทั่งชาวตะวันตกที่นับถือพุทธศาสนาแบบวัชรยานก็ยังหาโอกาสมาจาริกแสวงบุญที่นี่

    วัดตักซังมีความหมายอย่างมากต่อชาวพุทธนิกายวัชรยานเนื่องจากเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับท่านปัทมสัมภวะ ซึ่งเป็นผู้นำพุทธศาสนาแบบวัชรยานเผยแพร่ในธิเบตและภูฐาน ท่านปัทมสัมภวะ (หรือที่ชาวภูฐานเรียกว่า “คุรุรินโปเช”) ได้รับการสักการะจากชาวพุทธธิเบตและภูฐานประหนึ่งพระพุทธเจ้าองค์ที่สอง เนื่องจากท่านมีฤทธานุภาพมาก สามารถปราบภูตผีปีศาจร้ายให้หันมายอมรับนับถือพุทธศาสนา ตักซังเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่งที่ท่านเคยมาบำเพ็ญสมาธิภาวนานานสามเดือนก่อนที่จะลงมาเทศนาสั่งสอนให้ชาวบ้านในหุบเขาปาโรสมาทานพุทธศาสนา

    เช่นเดียวกับสถานที่จาริกสำคัญในพุทธศาสนา วัดตักซังอยู่บนเขาสูง เหนือผาหินสีดำซึ่งตระหง่านโดดเด่นเห็นแต่ไกล เขานั้นสูงชันมองไม่เห็นทางขึ้น อดพิศวงไม่ได้ว่าขึ้นไปสร้างวัดบนนั้นได้อย่างไร เพียงแค่เดินขึ้นไปก็ยากแล้ว แต่สำหรับท่านคุรุรินโปเช ผาสูงอย่างนี้ไม่เป็นปัญหา ตำนานเล่าว่าท่านคุรุรินโปเชขี่เสือตัวหนึ่งเหาะขึ้นไปยังหน้าผานั้น

    นอนพักเอาแรงที่ปาโรหนึ่งคืน เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเรากว่าสิบชีวิตก็เดินทางไปวัดตักซัง ใช้เวลาไม่นานรถก็มาจอดถึงตีนเขา ซึ่งเป็นป่าสนร่มรื่น มีม้าอยู่หลายตัวรอใช้บริการจากนักท่องเที่ยว แต่พวกเราเลือกที่จะเดินขึ้นเขา มาจาริกแสวงบุญทั้งที ควรพึ่งน้ำพักน้ำแรงของตน แม้จะลำบากเหนื่อยยากเพียงใดก็ตาม จะว่าไปแล้วจุดมุ่งหมายประการแรกของการจาริกแสวงบุญก็เพื่อสร้างความเพียรและเรียนรู้ที่จะอยู่กับความยากลำบาก มิใช่เพื่อทรมานตน แต่เพื่อเป็นแบบฝึกหัดในการยกจิตให้อยู่เหนือความลำบากทางกาย

    เราต้องเดินลัดเลาะไปตามไหล่เขา ไม่น่าเชื่อว่าเส้นทางแคบ ๆ ที่ตัดผ่านป่าสนและโรโดเดนดรอนนี้ผู้คนนับไม่ถ้วนได้ใช้เดินตลอดเวลาพันกว่าปี มิใช่แต่ชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น หากรวมถึงพระราชาและนักพรตผู้ทรงคุณอีกมากมาย แต่แม้จะรองรับผู้คนเรือนล้านมาแล้ว บรรยากาศรอบเส้นทางก็ยังเงียบสงบร่มรื่นและคงสภาพป่าไว้ได้ บางช่วงมีน้ำตกน้อยและลำธารไหลผ่าน หมุนกงล้อมนตร์ให้ส่งเสียงดังเป็นระยะ ๆ

    บรรยากาศอย่างนี้เหมาะกับการเดินเจริญสติไปด้วย คือรับรู้ทุกย่างก้าว ขณะเดียวกันก็เปิดใจรับรู้ทุกสิ่งที่มากระทบ แต่ก็ไม่วอกแวกหรือคิดฟุ้งปรุงแต่ง เดินช้า ๆ ไม่ต้องรีบ และไม่ต้องสนใจจุดหมายปลายทาง ใจอยู่กับปัจจุบัน อยู่กับแต่ละก้าวเท่านั้นก็พอ ยิ่งเดิน ทางยิ่งชัน ก็ยิ่งต้องเดินอย่างมีสติ ไม่เช่นนั้นจะเหนื่อยเร็ว เพราะเผลอเดินจ้ำเอา ๆ ด้วยอยากให้ถึงจุดหมายไว ๆ

     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,683
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,080
    (ต่อ)
    ในการจาริกแสวงบุญบนเขาสูง ยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไกลจากความสบาย เพราะนอกจากการขนส่งสิ่งอำนวยความสะดวกจะทำได้ยากแล้ว แต่ละคนยังขนเสบียงกรังได้ไม่มาก จะเดินให้ถึงจุดหมาย จำต้องพกพาข้าวของให้น้อยที่สุด เส้นทางยิ่งสูงชัน ความสุขทางกายก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ แต่หากเดินเป็น สิ่งที่จะได้เพิ่มขึ้นมาก็คือ ความสุขทางใจและความสุขจากธรรมชาติ เพราะได้สัมผัสกับความสงบ ทั้งความสงบทางใจและความสงบจากธรรมชาติ บ่อยครั้งที่มีแต่เราคนเดียวที่เดินอยู่บนทางแคบ ๆ กลางป่า เดินไปก็ทำน้อมใจสงบไปด้วย แต่ใครที่เอาแต่บ่น จมอยู่กับความเหนื่อยกาย หรือมัวแต่พูดคุยกัน หาไม่ก็ฟังเพลงจากเครื่อง MP3 ก็คงยากที่ใจจะเปิดรับความสุขดังกล่าวได้

    เมื่อคำนึงถึงความโดดเด่นของสถานที่ซึ่งบัดนี้ได้กลายเป็นจุดท่องเที่ยวสำคัญไปแล้ว เส้นทางที่สงบร่มรื่นและวิเวกอย่างนี้นับว่าหาได้ยากอย่างยิ่ง ใครที่เคยขึ้นเขาศรีปาทะ อันเป็นสถานที่จาริกแสวงบุญที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของศรีลังกา จะพบกับบรรยากาศที่ตรงกันข้าม ผู้คนนอกจากจะพลุกพล่าน ส่งเสียงอึกทึกแล้ว สองข้างทางยังเกลื่อนไปด้วยขยะ หาความอภิรมย์ร่มรื่นได้ยาก ส่วนพระธาตุอินทร์แขวน ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งของชาวพุทธพม่า ก็กำลังจะเจริญรอยตามศรีปาทะอย่างน่าเป็นห่วง

    เดินไต่เขาไปได้ชั่วโมงกว่าก็จะถึงจุดพักชมวิว ซึ่งประจันหน้ากับผาสูงอันเป็นที่ตั้งของวัดตักซัง เป็นมุมที่เห็นจุดหมายปลายทางได้อย่างงดงามมาก หลายคนเลือกที่จะหยุดเดินเพียงเท่านี้เพราะมีร้านกาแฟให้นั่งพักผ่อน(หรือจะนอนหลับไปเลยก็ได้) ส่วนคนที่เดินต่อนั้นจะต้องไปพบกับทางชันและวิบากยิ่งกว่าเดิม โดยเฉพาะช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นขอบหน้าผาสูงชันตรงข้ามวัดตักซัง ทางที่เคยชันขึ้นก็เปลี่ยนเป็นดิ่งลง ทางนอกจากจะแคบแล้วยังหวาดเสียวอย่างยิ่ง เพราะสามารถมองเห็นเหวลึกด้านข้างได้อย่างถนัดถนี่ นี้คือเส้นทางแห่งสติโดยแท้ เพราะต้องจับจ้องที่ขั้นบันไดเบื้องหน้าอย่างเดียวจึงจะเดินได้อย่างไม่หวั่นหวาด
    หลังจากเดินไต่เขาสองชั่วโมงเศษก็ถึงจุดหมาย วัดตักซังนั้นมีอาคาร ๑๓ หลังสร้างกระจัดกระจาย ส่วนใหญ่ตั้งอยู่บนหน้าผา ล้วนมีความเป็นมาเกี่ยวข้องบุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์ของภูฐาน อาคารที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั้นสร้างตรงถ้ำที่คุรุรินโปเชเคยบำเพ็ญภาวนา ตลอดพันกว่าปีที่ผ่านมามีลามะและวิปัสสนาจารย์คนสำคัญมานั่งบริกรรมในถ้ำนี้อย่างไม่ขาดสาย อาทิ มิลาเรปะ ซึ่งเป็นที่นับถืออย่างยิ่งในฝ่ายวัชรยาน จวบจนยุคปัจจุบัน ไม่ว่า ดิลโก เคนเซ รินโปเช ธรรมาจารย์ชาวธิเบตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคนี้ หรือ เชอเกียม ตรุงปะ คุรุที่ชาวตะวันตกรู้จักดีที่สุด ก็เคยทำสมาธิในถ้ำนี้มาแล้ว

    แม้ถ้ำจะมีประตูหุ้มแผ่นทองแดงปิดไว้ เปิดแค่ปีละครั้ง แต่การได้มานั่งสมาธิหน้าถ้ำตรงจุดที่ลามะคนสำคัญเคยนั่ง ก็ให้ความรู้สึกที่ดีมาก เหมือนกับว่าเราได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งแห่งกระแสธารทางจิตวิญญาณที่สืบสายอย่างต่อเนื่องจากอดีตอันไกลโพ้นสู่อนาคตอันเป็นนิรันดร์ ไม่ใช่ง่ายที่ใครสักคนจะได้มาทำสิ่งเดียวกันและตรงจุดเดียวกันกับคุรุผู้ยิ่งใหญ่ในอดีต เช่น มิลาเรปะ ซึ่งเป็นเสมือนบุคคลในตำนาน แต่แท้จริงเคยมีชีวิตมีเลือดเนื้อและเดินเหินอยู่ในถ้ำเดียวกันนี้กับเรา

    เหนือถ้ำเป็นอาคารหลายหลังซ้อนกัน เป็นที่ประดิษฐานรูปปั้นของคุรุรินโปเช ตลอดจนพระพุทธรูปทั้งสามกาล คือ พระทีปังกร พระศากยมุนี และพระศรีอริยเมตไตรย รวมทั้งพระโพธิสัตว์ปางต่าง ๆ พวกเราได้สักการะและนั่งสมาธิอยู่พักใหญ่ แม้จะมีนักท่องเที่ยวผ่านไปผ่านมาเป็นครั้งคราว แต่ก็ยังรู้สึกถึงความสงบ สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่อบอวลด้วยพลังอันเป็นกุศล
    วัดตักซังมิได้เปี่ยมไปด้วยพลังทางจิตวิญญาณเท่านั้น หากยังให้ความรู้สึกถึงพลังทางธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ เมื่อเราออกมายืนตรงระเบียงบนหน้าผาซึ่งสูงถึง ๘๐๐ เมตร ได้เห็นทัศนียภาพอันกว้างไกลสุดขอบฟ้า จิตใจก็ยิ่งรู้สึกปลอดโปร่งโล่งเบา ไม่ต่างจากท้องฟ้าอันเวิ้งว้างที่อยู่เบื้องหน้า เมื่อถึงจุดหมายปลายทางของการจาริกแสวงบุญ ไม่เพียงกายเท่านั้นที่ก้าวขึ้นมาอยู่บนที่สูง ใจก็ถูกยกระดับขึ้นมาด้วยเช่นกัน ใช่หรือไม่ว่านี้คือรางวัลแห่งความเพียรที่ต้องฝ่าความยากลำบาก

    การจาริกแสวงบุญกับการปีนเขานั้นมักจะแยกจากกันไม่ออก ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ตอบอย่างกำปั้นทุบดินก็ต้องพูดว่า เป็นเพราะสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นมักอยู่บนยอดเขาหรือชะง่อนผา สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นของสูง จึงต้องประดิษฐานบนที่สูง แต่มองอีกแง่หนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์อยู่บนที่สูงก็เพราะเป็นสัญลักษณ์ของอุดมคติสูงสุดของมนุษย์ สำหรับชาวพุทธ อุดมคติสูงสุดก็คือพระนิพพาน อันได้แก่สภาวะที่อยู่เหนือโลก เป็นอิสระจากโลกธรรมทั้งหลายซึ่งเต็มไปด้วยความผันผวนแปรปรวน ไม่น่ายึดถือและยึดถือไม่ได้

    ในการจาริกแสวงบุญ เราต้องใช้ความเพียรอย่างมากเพื่อไปให้ถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์บนเขาสูง เมื่อต้องพบกับความยากลำบากระหว่างทาง นั่นคือโอกาสที่เราจะได้ฝึกตนให้มีชีวิตเรียบง่าย ไม่ยึดติดกับความสุขทางวัตถุ ขณะเดียวกันก็เรียนรู้ที่จะฝึกใจให้สงบ ด้วยการเจริญสติ บำเพ็ญสมาธิ หรือสวดมนต์ เมื่อไปถึงจุดหมาย ศรัทธาปสาทะที่เพิ่มพูน ย่อมบันดาลใจให้เกิดปีติ อิ่มเอิบ และโปร่งเบา อันเป็นสุขที่ประเสริฐกว่ากามสุข จะว่านี้เป็น “นิพพานน้อย ๆ” หรือ “นิพพานชิมลอง”ก็ได้

    การจาริกแสวงบุญจึงเป็นเสมือนภาพจำลองของการดำเนินชีวิตเพื่อบรรลุถึงอุดมคติสูงสุดของชีวิต ขณะเดียวกันก็เป็นการฝึกตนเตรียมใจให้พร้อมสำหรับการก้าวไปให้ถึงจุดหมายสูงสุดดังกล่าว การจาริกแสวงบุญสู่เขาสูงจึงเป็นสิ่งที่ชาวพุทธทุกคนควรบำเพ็ญสักครั้งหนึ่งในชีวิต

    ขากลับเราเดินผ่านชาวภูฐานหลายคนที่ทยอยกันขึ้นไปวัดตักซัง คนเหล่านี้ไม่ใช่นักท่องเที่ยว แต่ตั้งใจไปจาริกแสวงบุญตามธรรมเนียมของชาวธิเบต ดูแล้วคงจะไม่ได้ไปเช้าเย็นกลับเหมือนพวกเรา แต่ค้างแรมด้วย แม้กระนั้นก็ไม่ได้มีสัมภาระมากมาย สะพายแค่ถุงย่ามเล็ก ๆ
    ได้ทราบมาว่าชาวภูฐานบางคนไม่ได้แสวงบุญด้วยการเดินอย่างธรรมดา แต่จาริกด้วยการกราบอัษฏางคประดิษฐ์ตามแบบวัชรยาน คือเดินสามก้าวแล้วก้มลงกราบโดยนอนราบกับพื้น นอกจากใช้เวลานานแล้วยังต้องใช้ความเพียรมากด้วย

    นักบวชภูฐานผู้หนึ่งกล่าวว่า “ทุกคนที่จาริกแสวงบุญมาถึงตักซัง จะกลับไปเป็นคนละคนทีเดียว”

    ใครที่ไปถึงตักซัง มิใช่แต่กายเท่านั้น หากใจก็ถึงด้วย ย่อมเห็นด้วยกับคำพูดนี้อย่างแน่นอน
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255308.htm


     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,683
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,080
    ความทรงจำอำพราง
    พระไพศาล วิสาโล
    ความจำของคุณดีแค่ไหน ?

    ลองนึกย้อนหลังไป ๔ ปี นึกถึงเหตุการณ์ประทับใจช่วงเกิดฝนดาวตก ย้อนไปอีก ๘ ปี คุณอยู่ไหนวันที่อิรักบุกคูเวตจนหุ้นตกระนาว นึกยาวไปอีกถึงวันสนุกสุดชีวิตครั้งเป็นนักเรียน

    ถ้าความจำคุณยังดีอยู่ ลองนึกไปถึงวันแรกที่แม่พาเข้าโรงเรียน นึกต่อไปอีกถึงวันที่หัดเดิน แล้ววันที่คุณยังเป็นทารกแบเบาะ คุณจำได้ไหมว่าของเล่นที่แม่ผูกไว้เหนือเปลนั้นคืออะไร?

    ถ้าคุณยังจำของเล่นชิ้นนั้นได้ นั่นแสดงว่าคุณจำผิดแล้ว พูดให้ถูกต้องก็คือ คุณปรุงแต่งความจำนั้นขึ้นมาเอง

    แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะจำเหตุการณ์ในปีแรกของชีวิตได้ สาเหตุประการหนึ่งก็คือ สมองส่วนที่สร้างความทรงจำอันได้แก่ฮิปโปแคมปัสนั้นยังไม่เติบโตพอที่จะสะสมความจำไว้ได้นานจนสามารถดึงออกมาได้เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่

    ถ้าเช่นนั้นเหตุใดบางคนจึงย้อนเห็นภาพตอนเป็นทารกได้ คำตอบก็คือ เพราะว่ามีคนมาช่วยเขาปรุงแต่งความจำจนนึกว่านั่นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตอนเป็นทารก

    เมื่อไม่กี่ปีมานี้มีการนำคนกลุ่มหนึ่งมาทดลอง ผู้ทดลองได้บอกคนกลุ่มนี้ว่าพวกเขามีประสาทตาและทักษะการสำรวจภาพที่ดี สันนิษฐานว่าอาจเป็นเพราะเกิดในโรงพยาบาลที่แขวนของเล่นหรือโมไบล์สีสวย ๆเหนือที่นอน ผู้ทดลองบอกว่าต้องการยืนยันทฤษฎีนี้ว่าจริงหรือไม่ จึงอยากให้คนกลุ่มนี้ย้อนระลึกไปถึงตอนแรกเกิด เพื่อผู้ทดลองจะได้รู้ว่าเขาประสบพบเห็นอะไรบ้างตอนนั้น

    ผู้ทดลองแบ่งคนกลุ่มนี้เป็น ๒ พวก พวกแรกถูกสะกดจิตเพื่อย้อนระลึกถึงตอนแรกเกิด ส่วนอีกพวกหนึ่งนั้นผู้ทดลองใช้วิธีพูดนำให้ย้อนกลับไปสู่อดีต ปรากฏว่า ร้อยละ ๔๖ ของพวกแรก และร้อยละ ๕๖ ของพวกหลัง บอกว่าจำได้ว่ามีของเล่นหลากสีแขวนอยู่เหนือที่นอนของตนตอนแรกเกิด บางคนบอกว่ายังจำรายละเอียดอย่างอื่นได้อีก เช่น หมอ พยาบาล และแสงไฟ

    ความจริงก็คือคนเหล่านี้จำอะไรไม่ได้เลยตอนแรกเกิด แต่ที่นึกว่าจำได้ก็เพราะมีคนมาโน้มนำความคิดไว้ก่อนแล้ว ความคิดนี้แหละที่ไปปรุงแต่งให้เกิด “ความจำ”อันใหม่ขึ้นมาขณะที่พยายามย้อนระลึกถึงความหลังครั้งแบเบาะ

    อย่าว่าแต่ความหลังครั้งแบเบาะเลย แม้โตจำความได้แล้ว เราก็ยังสามารถเอาเรื่องไม่จริงเข้ามาปะปนกับความจำจนนึกว่าเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตจริง ๆ

    มีการทดลองที่ทำโดยอีกคณะหนึ่ง เขาได้ขอให้คนกลุ่มหนึ่งตอบว่าเหตุการณ์ ๔๐ อย่างในแบบสอบถาม มีเหตุการณ์ใดบ้างที่เขาคิดว่าได้เคยเกิดขึ้นกับเขาในวัยเด็ก และเหตุการณ์ใดที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย เหตุการณ์ ๔๐ อย่างมีอาทิ เจอเงิน ๑๐ เหรียญ เรียก ๑๙๑ ทำกระจกหน้าต่างแตก
    ตกต้นไม้ ฯลฯ หลังจากนั้น ๒ สัปดาห์ผู้ทดลองได้ขอให้กลุ่มนี้จินตนาการถึงเหตุการณ์บางเหตุการณ์ที่เขาบอกว่าไม่เคยเกิดขึ้นกับตนเลย โดยผู้ทดลองเป็นผู้นำจินตนาการ ด้วยการบอกบทอย่างละเอียด

    หลังจากนั้น ๒ สัปดาห์คนกลุ่มนี้ก็กลับมาตอบคำถามเดิมว่า ๔๐ เหตุการณ์ในแบบ สอบถาม เหตุการณ์ใดบ้างที่คิดว่าเคยเกิดขึ้น และไม่เคยเกิดขึ้นเลย ปรากฏว่าคราวนี้คำตอบเปลี่ยนไป อาทิ คนที่เคยตอบในครั้งแรกว่าไม่เคยทำกระจกหน้าต่างแตก หลังจากจินตนาการว่าได้ทำกระจกแตก ร้อยละ ๒๔ ของคนกลุ่มนี้ตอบในครั้งหลังว่าเคยทำกระจกแตกตอนเป็นเด็ก

    การทดลองนี้พิสูจน์ว่าการจินตนาการของคนเรานั้น แม้เป็นเรื่องไม่จริง แต่ก็สามารถเข้ามาปะปนในความรู้สึกนึกคิดของคนเรา จนถูก “กลืน”เข้ามาอยู่ในความทรงจำ กลายเป็นเรื่องที่เราสำคัญมั่นหมายว่าเป็นความจริงไป

    ที่จริงไม่ต้องอาศัยจินตนาการก็ได้ เพียงแค่ได้ยินได้อ่านเรื่องซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นจริงในวัยเด็ก แต่ถ้าได้ยินหรืออ่านเรื่องนั้นพร้อม ๆ กับเรื่องจริง ๓-๔ เรื่องซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเดียวกัน เรื่องปรุงแต่งนั้นก็มีโอกาสที่จะถูกประทับในความทรงจำว่าเป็นเป็นเรื่องจริงในอดีตได้ เคยมีการทดลองแบบนี้กับคนกลุ่มหนึ่ง โดยเอาเรื่องราวในวัยเด็กของแต่ละคน(ซึ่งได้จากการสอบถามญาติผู้ใหญ่)มา ๓ เรื่อง แล้วแทรกเหตุการณ์ปลอมเข้าไปเป็นเรื่องที่ ๔ คือ การพลัดหลงกับพ่อแม่ในางสรรพสินค้าเมื่ออายุ ๕ ขวบ ปรากฏว่าพอได้อ่านครั้งแรก ร้อยละ ๒๙ ของคนกลุ่มนี้ก็”จำได้”ทันทีว่าเคยประสบเหตุการณ์ดังกล่าว ในการสอบถาม ๒ ครั้งต่อมา คนที่ยืนยันว่าจำเหตุการณ์ที่กุขึ้นมาก็ยังมีจำนวนไม่ต่างจากเดิมมากนัก

    มาถึงตรงนี้คุณยังเชื่อมั่นในความทรงจำของคุณอยู่อีกหรือเปล่า แน่ใจหรือว่าเหตุการณ์ที่นึกว่าเป็นเรื่องจริงในอดีตนั้น ไม่ใช่สิ่งที่เติมแต่งเข้าไปทีหลัง จะโดยจินตนาการของตนเองหรือการโน้มนำของคนอื่นก็ตาม

    ความทรงจำของเราไม่ได้มีกำแพงแน่นหนาอย่างที่เรานึก อีกทั้งไม่ได้ซื่อตรงอย่างที่เราอยากจะให้เป็น อะไรต่ออะไร ทั้งดีและไม่ดีมีสิทธิแทรกซึมเล็ดลอดเข้าไปในความทรงจำได้ทั้งนั้น อีกทั้งบางครั้งก็หลอกเราหน้าตาเฉย ถ้าเราเชื่อความจำของเรามากไป ก็อาจจะเดือดร้อนก็ได้
    ใช่หรือไม่ว่าบ่อยครั้งผู้คนทะเลาะเบาะแว้งกันก็เพราะเรื่องความจำ ภรรยาจำได้ว่าสามีพูดอย่างนี้ แต่สามีบอกว่าพูดอย่างนั้นต่างหาก เจ้านายยืนยันว่ายื่นเอกสารนี้ให้เลขา ฯ แล้ว แต่เลขา ฯ ว่ายังไม่ได้รับ ต่างคนต่างยืนยันเพราะมั่นใจในความจำของตน ทุ่มเถียงจนหน้าดำคร่ำเครียด พร้อมจะเอาเป็นเอาตายกับเรื่องนั้น บางคนหนักกว่านั้นอีก นึกปรุงแต่งไปเองว่าคนนั้นคนนี้ด่าว่าตน พอผ่านไปสักพักก็ “จำ”ได้ว่าคนนั้นเคยต่อว่าตน เลยผูกใจเจ็บโดยที่คนนั้นไม่รู้เรื่องอะไรเลย
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,683
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,080
    (ต่อ)
    แต่เรามั่นใจเต็มร้อยแล้วหรือว่าความจำของเรานั้นเชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นต์
    แม้เหตุการณ์จะเพิ่งเกิด ก็อย่านึกว่าเราจำได้ไม่ผิด ในการทดลองครั้งหนึ่ง คนกลุ่มหนึ่งเห็นอุบัติเหตุเกิดขึ้นตรงสี่แยกขณะที่สัญญาณไฟจราจรเป็นสีแดง หลังจากนั้นครึ่งหนึ่งของผู้เห็นเหตุการณ์ได้รับการบอกเล่าว่าสัญญาณไฟเป็นสีเขียว เมื่อมีการสอบถามในเวลาต่อมาว่าสัญญาณไฟเป็นสีอะไร คนที่ได้รับคำบอกเล่ามาก่อนมีแนวโน้มที่จะบอกว่าเป็นสีเขียว
    ความจำของคนเรานั้นพร้อมจะแปรเปลี่ยนเมื่อมี “ข้อมูลใหม่”เข้ามา ข้อมูลนั้นหากเข้ามาอยู่ในความคิดของเราเมื่อไหร่ มันพร้อมจะเข้าไปแทรกซึมปะปนกับความทรงจำของเราได้ทุกเวลา ความคิด จินตนาการ และความจำนั้น บ่อยครั้งก็ใกล้กันมาก จนแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นอะไร

    ที่จริงไม่จำเป็นต้องมีข้อมูลใหม่ ความจำก็อาจคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนได้หากเวลาผ่านไปไม่นาน หนึ่งวันหลังจากเกิดอุบัติเหตุโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่เชอร์โนบิล ประเทศรัสเซีย ได้มีการมอบหมายให้นักศึกษากลุ่มหนึ่งในรัฐจอร์เจีย สหรัฐอเมริกา บันทึกว่าตนอยู่ไหนตอนที่ได้ข่าว กำลังทำอะไร และใครเป็นคนบอกข่าว ๓ ปีหลังจากนั้นก็ได้ให้นักศึกษากลุ่มเดียวกันนั้นจำนวน ๔๔ คน ตอบคำถามเดียวกันนั้นอีก ปรากฏว่าทุกคนตอบผิด มี ๑๑ คนที่ตอบผิดทั้ง ๓ ข้อ
    นอกจากระยะเวลาแล้ว ภูมิหลัง ประสบการณ์ อคติ อารมณ์ความรู้สึกของเราขณะนั้นก็มีอิทธิพลต่อความจำมาก ที่จริงปัจจัยเหล่านี้มีอิทธิพลตั้งแต่ตอนรับรู้ข้อมูลก่อนที่จะถูกบรรจุในความทรงจำด้วยซ้ำ
    ศาสตราจารย์คนหนึ่ง ขณะที่กำลังบรรยายวิชาอาชญาวิทยา มีชายผู้หนึ่งวิ่งเข้ามาในห้องแล้วหยิบกระเป๋าศาสตราจารย์ผู้นั้นไป ไม่ทันที่นักศึกษานับร้อยจะหายตื่นตกใจ ศาสตราจารย์ก็ถามนักศึกษาว่าคนที่ขโมยกระเป๋านั้นไป มีรูปพรรณสัณฐานอย่างไร สูงแค่ไหน ใส่เสื้ออะไร รองเท้าแบบไหน ปรากฏว่านักศึกษานับร้อยบรรยายลักษณะของขโมยไม่ตรงกัน ศาสตราจารย์จึงสรุปว่าความจำของเรานั้นบางทีก็เชื่อไม่ได้ ดังนั้นจึงอย่ามั่นใจในประจักษ์พยานว่าจะให้ข้อเท็จจริงได้ถูกต้องเสมอกัน
    ความจำไม่ใช่แค่ข้อมูลที่สะสมในสมอง มันมักถูกนำมาใช้เพื่อยืนยันความเป็นตัวเรา และบอกว่าเราเป็นใคร ลักษณะประจำชาติหรือความเป็นชาติ ขึ้นอยู่กับประวัติศาสตร์ที่จดจารฉันใด ความเป็นตัวเราก็ขึ้นอยู่กับความทรงจำเกี่ยวกับตัวเองฉันนั้น ถ้าในความทรงจำมีแต่เรื่องไม่ดีของเรา ย่อมยากที่เราจะมองตนเองในแง่ดี แต่ถ้าเรานึกเห็นแต่อดีตที่ดี ๆ ของตัวเอง ก็อาจเห่อเหิมอหังการจนหลงตัวลืมตัวไปก็ได้ อย่างไรก็ตามทั้งหมดนี้อาจเป็นมายาภาพก็ได้ เพราะความทรงจำของเราอาจคลาดเคลื่อนผิดเพี้ยนไปตั้งแต่แรกก็ได้

    คนเราหนีความทรงจำของตนเองไม่ได้ก็จริง แต่อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นทาสของความทรงจำ ความทรงจำก็เช่นเดียวกับความคิดของเราตรงที่มันสามารหลอกเราได้ทั้งนั้น เมื่อปักใจเชื่อว่าใครเป็นขโมย เราก็มองเห็นคนนั้นมีพิรุธไปเสียทุกอย่าง ความทรงจำที่ไม่ดีเกี่ยวกับคนนั้นก็ผุดพรูขึ้นมาเป็นการใหญ่ ทั้งที่ประสบพบเห็นเองก็มี นึกเอาเองหรือได้ยินเขาว่ามาก็มี ที่แย่ก็คือถ้าเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ก็เท่ากับว่าเราทำร้ายเขาไปแล้วโดยไม่รู้ตัว
    อย่าตัดสินตัวเองหรือคนอื่นด้วยข้อมูลจากความทรงจำไปเสียหมด อย่าปล่อยให้ความทรงจำทิ่มแทงตัวเรา หรือกักขังเราไว้กับอดีต ลืมเสียบ้างก็ดี อย่าลืมว่าปัจจุบันนั้นสำคัญกว่าอดีตพยายามรู้จักปัจจุบันและสร้างปัจจุบันให้ดีที่สุด แม้อดีตจะช่วยให้เรารู้จักปัจจุบัน แต่ก็ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่สุด สิ่งที่เป็นอยู่ แลเห็นอยู่ขณะนี้ต่างหากที่เป็นสิ่งสำคัญสูงสุดอันเราพึงใส่ใจ

    ปัจจุบันนั้นใช่หรือไม่ว่าเป็นเวลาประเสริฐสุด
    :- https://visalo.org/article/sukjai254509.htm

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 มิถุนายน 2025 at 23:59
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,683
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,080
    ของดีที่ถูกมองข้าม
    พระไพศาล วิสาโล
    (หัวข้อเตียวกันแต่เรื่องไม่ซ๋้าค่ะ)
    “ผมไม่มีเงินผ่อนบ้านแล้วพี่ เขากำลังจะยึดบ้านผม” ชายผู้หนึ่งเปรยขึ้นมา
    “ก็ดีนะ เราจะได้ไม่มีภาระต้องผ่อนบ้านอีก” ชายคนที่สองให้กำลังใจ

    ชายคนแรกไม่ใช่ใครที่ไหน คือ “เท่ง” ดาวตลกนั่นเอง ส่วนคนที่สองถึงไม่บอกก็พอจะเดาได้ว่าคือ “หม่ำ จ๊กมก” แต่บทสนทนาข้างต้นมิใช่มุกตลกบนเวที หากเป็นเรื่องจริงที่กำลังสร้างความหนักใจให้แก่คน ๆ หนึ่ง
    การถูกยึดบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องดีแน่ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียหมด อย่างน้อยก็ยังมีข้อดีอยู่อย่างหนึ่งคือ ทำให้ไม่ต้องปวดหัวกับการหาเงินมาผ่อนบ้านอีก สำหรับคนที่ต้องวิ่งวุ่นเพื่อหมุนเงินมาผ่อนบ้านทุกเดือน ใช่หรือไม่ว่า การหมดภาระในเรื่องนี้ช่วยให้จิตใจสบายขึ้นอีกเยอะ จะว่าไปการถูกยึดบ้านอาจเป็นสิ่งเตือนใจว่า เราทำสิ่งที่เกินกำลัง หรือซื้อบ้านแพงเกินตัว ดังนั้นถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับมาทำในสิ่งที่พอดีกับชีวิตหรือรายได้ที่มี ใครจะไปรู้ การกลับมาเริ่มต้นใหม่ อาจทำให้เส้นทางชีวิตราบรื่นขึ้นกว่าเดิมก็ได้ ถึงตอนนั้นเราอาจรู้สึกโชคดีด้วยซ้ำที่บ้านถูกยึด เหมือนกับที่หลายคนรู้สึกโชคดีที่เป็นมะเร็ง เพราะทำให้ชีวิตกลับมาเดินทางสายกลาง และค้นพบความสุขที่ไม่เคยประสบมาก่อน

    ปัญหาทั้งหลายที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะร้ายแรงเพียงใด ย่อมมีส่วนดีอยู่บ้างไม่มากก็น้อย คำถามก็คือ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับเราแล้ว เราจะเอาแต่คร่ำครวญ กลุ้มใจ หมดอาลัยหรือจมจ่อมอยู่กับสิ่งร้าย ๆ จนไม่เป็นอันทำอะไร หรือในทางตรงข้าม เราควรมองหาส่วนดีเพื่อเอามาใช้ให้เกิดประโยชน์ อย่างน้อยก็เพื่อฉุดใจให้พ้นจากความทุกข์หรือความน้อยเนื้อต่ำใจในโชคชะตา

    ความเจ็บป่วยทำให้เราไม่อาจดำเนินชีวิตได้ตามปกติก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันก็เปิดโอกาสให้เราได้ทำสิ่งที่ไม่ค่อยได้ทำในเวลาปกติ (เพราะถูกงานการแย่งเวลาไป)เช่น พักผ่อน อ่านหนังสือธรรมะ ทำสมาธิภาวนา รวมทั้งมีเวลาอยู่กับครอบครัวมากขึ้น มีเด็กอายุ ๑๒ คนหนึ่ง เป็นมะเร็งจนต้องเข้าโรงพยาบาล เธอบอกว่านั่นเป็นช่วงที่เธอมีความสุขที่สุด เพราะได้อยู่ใกล้ชิดกับพ่อแม่ หากเธอไม่ป่วย พ่อแม่ลูกก็คงมีเวลาอยู่ด้วยกันน้อยมาก เพราะลูกต้องไปเรียน ส่วนพ่อแม่ก็ต้องไปทำงานแต่เช้าตามวิสัยคนกรุงเทพ ฯ

    ใจที่มองเห็นข้อดีที่แฝงตัวมากับปัญหา ย่อมมีความทุกข์น้อยกว่าใจที่เห็นแต่สิ่งเลวร้ายหรือข้อเสีย การเห็นข้อดีเหล่านั้นย่อมทำให้ใจเป็นกุศล ไม่หม่นหมอง หรือหัวเสีย นอกจากจะทำให้มีกำลังใจที่จะเผชิญกับปัญหาต่อไปแล้ว หากรู้จักนำข้อดีนั้นมาขยายผลให้เกิดประโยชน์ ย่อมส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีในตัวเองด้วย

    ไม่มีนักขับขี่ยวดยานคนใดชอบสัญญาณไฟแดง แต่ไฟแดงเป็นส่วนหนึ่งของการสัญจรในเมือง ดังนั้นเมื่อเจอไฟแดง ควรหรือที่จะปล่อยใจให้หงุดหงิดกับมัน จะไม่ดีกว่าหรือหากพยายามหาประโยชน์จากมัน บางคนใช้สัญญาณไฟแดงเป็นสิ่งเตือนใจให้หยุดฟุ้งซ่าน เพื่อหันกลับมาดูจิตของตน หรือใช้โอกาสนั้นฝึกสมาธิด้วยการตามลมหายใจเข้าและออก โดยถือว่านอกจากรถจะหยุดนิ่งแล้ว ใจก็ควรนิ่งด้วย วิธีนี้ทำให้ไฟแดงไม่สามารถก่อความทุกข์แก่เขาได้อีกต่อไป กลับกลายเป็นของดีสำหรับชีวิตจิตใจของเขาด้วยซ้ำ

    อุปสรรคหรือความไม่สมหวังก็เช่นกัน มีข้อดีที่เป็นประโยชน์แก่เราอย่างมากมาย เช่น ฝึกใจให้อดทน มีภูมิต้านทานต่อความล้มเหลวได้มากขึ้น ขณะเดียวกันก็ให้บทเรียนที่เพิ่มพูนสติปัญญาแก่เรา อย่างน้อยก็ทำให้รู้ว่า อะไรที่ไม่ควรทำ อะไรที่พึงหลีกเลี่ยง ออสวอลด์ อาเวรี่ นักวิทยาศาสตร์ชาวอเมริกัน เคยกล่าวว่า “เวลาหกล้ม (ก่อนจะลุก) ต้องเก็บอะไรขึ้นมาสักอย่าง” คนส่วนใหญ่เมื่อหกล้มแล้ว มักลุกขึ้นมามือเปล่า ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือขึ้นมาด้วยเลย แต่อาเวรี่ไม่ยอมเสียโอกาสอันงามเช่นนั้น ความล้มเหลวแต่ละครั้งเป็นประโยชน์ต่อเขาเสมอ ดังนั้นเขาจึงไม่เคยผิดหวังกับความล้มเหลวตลอด ๒๐ ปีของการค้นคว้า และนั่นคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เขาค้นพบความจริงอันสำคัญยิ่งของชีววิทยายุคใหม่ ได้แก่ ความจริงที่ว่าสารพันธุกรรมคือดีเอนเอ หาใช่โปรตีนอย่างที่เคยเข้าใจไม่

    เมื่อใดก็ตามที่สามารถมองเห็นข้อดีของอุปสรรคหรือความล้มเหลว ก็ไม่ยากที่เราจะมองเห็นความดีของคนที่สร้างอุปสรรคให้แก่เรา หรือทำให้งานของเราล้มเหลว ถึงตอนนั้นเราก็จะเกลียดเขาน้อยลง และอาจขอบคุณเขาด้วยซ้ำ คล็อด โทมัส เป็นทหารผ่านศึกสมัยสงครามเวียดนาม ต่อมาได้บวชเป็นพระเซน และได้อุทิศตนให้แก่การสร้างสันติภาพ คราวหนึ่งได้เดินเท้าจาริกข้ามอเมริกา จากนิวยอร์กไปแคลิฟอร์เนีย เป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร เพื่อรณรงค์สันติภาพ ในการจาริกดังกล่าว ซึ่งกินเวลานานถึง ๕ เดือน ท่านได้บำเพ็ญภิกขาจารเป็นวัตร กล่าวคือไม่พกเงิน แต่จะขออาหารและที่พักจากผู้มีจิตศรัทธาตามรายทาง

    สหรัฐอเมริกานั้น มีวัดพุทธน้อยมาก ดังนั้นส่วนใหญ่ท่านจะไปขออาหารและที่พักตามโบสถ์คริสต์ บ่อยครั้งท่านถูกปฏิเสธ หลายคนพูดตรง ๆ ว่า “คุณเป็นพุทธ เราไม่ช่วยคุณหรอก” แม้จะถูกบอกปัดจากผู้ที่อ้างตัวว่าเคร่งศาสนา แต่แทนที่ท่านจะแสดงอาการขุ่นเคือง ท่านกลับนิ่งสงบ พนมมือขึ้น และค้อมตัวแสดงความเคารพ ก่อนที่จะเดินทางต่อไป
     
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,683
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,080
    (ต่อ)
    ธรรมดาเมื่อถูกใครปฏิเสธซึ่งหน้า เราย่อมโกรธ และรู้สึกเสียหน้าอย่างแรง ตามมาด้วยความเกลียดชังคนผู้นั้น แต่ท่านคล็อดกลับมองว่านี้เป็นโอกาสดีที่จะได้ฝึกตนและรู้จักตัวเองมากขึ้น เพราะจะได้เห็นอารมณ์อกุศลผุดขึ้นมา และเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ไม่จมเข้าไปในอารมณ์นั้น ในสายตาของท่าน บุคคลเหล่านี้ช่วยให้ท่านได้เห็นและประสบสัมผัสกับสิ่งที่ขัดขวางปิดบังมิให้ท่านเข้าถึง “สภาวะตื่นรู้” ด้วยเหตุนี้บุคคลเหล่านั้นจึงเปรียบเสมือนครูของท่าน ที่ท่านสมควรจะแสดงความขอบคุณ

    คนที่ตำหนิเราหรือมุ่งร้ายต่อเรา มองให้ดี ๆ จะพบว่า การกระทำของเขาก็มีส่วนดีหรือมีคุณประโยชน์ต่อเราไม่น้อย แต่เราจะมองข้อดีนั้นไม่เห็นเลย หากจิตใจของเราจมอยู่กับความผิดหวังและเสียหน้า หรือถูกครอบงำด้วยความโกรธเกลียดเคียดแค้น ใช่หรือไม่ว่าการปล่อยใจให้ตกอยู่ในอารมณ์เช่นนั้น มีแต่จะฉุดใจเราให้ต่ำลง นึกคิดในทางอกุศล ในทางตรงข้ามการมองเห็นข้อดีจากการกระทำของเขา ช่วยยกจิตของเราให้สูงขึ้น น้อมใจไปในทางกุศล และเป็นสุข

    ยิ่งเราเห็นคุณค่าของการฝึกฝนตนมากเท่าไร เราจะเห็นคุณค่าของอมิตรและผู้ที่มุ่งร้ายต่อเรา เพราะเขาคือครูที่คอยเคี่ยวเข็ญให้เรามีสติรู้ทันความโกรธเกลียดที่ผุดขึ้นมา และต้องฝึกใจให้มีปัญญาเอาชนะอารมณ์เหล่านั้นให้ได้ หากเราเหยาะแหยะในการฝึกฝนตน เราเองนั่นแหละจะเป็นทุกข์ ใช่หรือไม่ว่า หากเราสุขสบายดีแล้ว ย่อมไม่สนใจที่จะทำอะไรทั้งสิ้น ต่อเมื่อมีทุกข์ จึงค่อยขยับตัวเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ และถ้าเปลี่ยนแปลงสิ่งรอบตัวไม่ได้ ก็จำต้องหันมาเปลี่ยนตนเอง และการเปลี่ยนแปลงตัวเองที่สำคัญที่สุดก็คือทำตัวตนให้เบาบาง หรือปล่อยวางจากความยึดถือในตัวตน

    ใช่หรือไม่ว่าความทุกข์ทั้งหลาย เกิดจากความยึดติดถือมั่นในตัวตน หรือยึดสิ่งต่าง ๆ มาหล่อเลี้ยงอัตตาจนพองโต ทุกครั้งที่ทุกข์เพราะถูกคนตำหนิหรือวิจารณ์ นั่นแสดงว่าเรากำลังปล่อยให้อัตตาพองโตจนอะไรมากระทบก็ไม่ได้ ไม่ต่างจากลูกโป่งที่กลัวแม้แต่ยอดหญ้าหรือเศษฟางจะมาแตะต้อง ถ้าจับสัญญาณเช่นนี้ได้ คำตำหนิหรือคำวิจารณ์ กลับจะเป็นประโยชน์ เพราะช่วยเตือนใจให้เราเลิกพะนออัตตา หันมาทำตัวตนให้เบาบางลง ด้วยการไม่ยึดอะไรต่ออะไรมาเป็นของเรา รวมทั้งไม่ยึดเอาความขุ่นเคืองใจมาเป็น “ตัวกู ของกู”ด้วย

    เวลาเสียหน้า ลองปล่อยให้ความเสียหน้าล่องลอยอ้อยอิ่งอยู่ในใจดูบ้าง อย่าไปยึดมาเป็นตัวเราของเราอย่างที่เคยทำ หรือจะปล่อยให้เป็นเรื่องของอัตตาไปก็ได้ มันจะเสียหน้าอย่างไร ฉันไม่เกี่ยว เวลาเสียใจเพราะผิดหวัง ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของอัตตาที่ชอบวาดหวังลม ๆ แล้ง ๆ มันจะเสียใจอย่างไร ก็อย่าเผลอไปเหมาเอาความเสียใจนั้นมาเป็นของฉันไปด้วย

    ทุกครั้งที่ประสบกับปัญหาและความทุกข์ พึงระลึกว่าโอกาสมาถึงแล้วที่เราจะได้ฝึกฝนการปล่อยวางดังกล่าว หากเราละเลยการฝึกฝนดังกล่าวก็มีแต่จะทุกข์มากขึ้น แต่ในเวลาเดียวกัน ยิ่งทุกข์มากเท่าไร ก็ยิ่งมีแรงกดดันให้สลัดความทุกข์ออกไปจากใจมากเท่านั้น และหากสลัดเป็น ก็ย่อมรู้ว่าการสลัดความยึดถือในตัวตนออกไปได้อย่างสิ้นเชิงนั้นเป็นดีที่สุด

    เอ็คคาร์ท ทอลเล เป็น “คุรุ”ทางจิตวิญญาณที่ได้รับการยกย่องนับถือมากที่สุดผู้หนึ่งในโลกตะวันตกขณะนี้ คำสอนของเขาเน้นเรื่องการอยู่กับปัจจุบัน “พลังแห่งปัจจุบันขณะ” คือชื่อหนังสือเล่มแรกของเขาที่ได้รับความนิยมอย่างสูง ภูมิหลังของเขาไม่ต่างจากคนเยอรมันทั่วไป คือไม่สนใจเรื่องศาสนาหรือสมาธิภาวนา จึงประสบกับความทุกข์ใจอยู่บ่อยครั้ง จุดเปลี่ยนในชีวิตของเขาเกิดขึ้นในคืนหนึ่ง เขาตื่นขึ้นมากลางดึกด้วยความรู้สึกแปลกแยก สับสน ชิงชัง และเป็นทุกข์อย่างยิ่ง เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่ามาก่อน แต่คืนนั้นรุนแรงมากจนเขาไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อไป

    “ฉันทนอยู่กับตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว” ความคิดเช่นนี้ผุดขึ้นมาไม่รู้จบ และแล้วเขาก็ได้คิดขึ้นมาว่านี่เป็นความคิดที่แปลกอย่างยิ่ง “ฉันมีหนึ่งหรือสอง ? ถ้าฉันอยู่กับตัวเองไม่ได้ ก็แสดงว่าฉันมีสอง นั่นคือ “ฉัน” กับ “ตัวตน”ที่ “ฉัน”ทนอยู่ด้วยไม่ได้” “หรือว่ามีเพียงหนึ่งเดียวนั้นที่จริง” ทันใดนั้นเองจิตของเขาก็นิ่งสงบ มีแต่ความรู้ตัวทั่วพร้อม ไม่มีความคิดหรือความรู้สึกใด ๆ ผุดขึ้นมาอีก นับแต่คืนนั้นชีวิตของเขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง มีความนิ่งสงบอย่างไม่เคยรู้สึกมาก่อน จวบจนทุกวันนี้

    เป็นเวลาหลายปีกว่าเขาจะอธิบายได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา ความทุกข์ที่ถาโถมท่วมทับในคืนนั้น แม้จะทำให้เขาแทบจะทนไม่ไหว แต่ในอีกด้านหนึ่งก็กดดันให้จิตใจของเขาต้องถอนตัวออกจากความยึดติดในตัวตนที่กำลังทุกข์ทรมานอย่างแรงกล้า เขาได้ตระหนักว่าตัวตนที่ทุกข์ทรมานนั้นไม่ใช่ “เขา” แต่เนื่องจากไปยึดติดกับตัวตนนั้น เขาจึงทุกข์ไปด้วย เมื่อปล่อยวางจากตัวตน ดังกล่าว (ซึ่งนอกจากจะทุกข์แล้ว ยังเป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาเอง) เขาจึงเป็นอิสระและมีความสุขอย่างไม่เคยประสบมาก่อน ประสบการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาสรุปอย่างสั้น ๆ ว่า “ความคิดของคุณหาใช่คุณไม่” (You are not Your Mind)

    หากเขาไม่ประสบกับความทุกข์แสนสาหัส ก็คงไม่พบกับหนทางออกจากทุกข์ได้เลย ความทุกข์จึงมิใช่สิ่งเลวร้ายไปเสียหมด หากมีข้อดีหลายอย่าง หนึ่งในข้อดีเหล่านั้นซึ่งสำคัญที่สุดก็คือ การเปิดเผยให้เห็นสาเหตุแห่งทุกข์ เพียงรู้เท่านั้นกุญแจแห่งการออกจากทุกข์ก็อยู่ในมือแล้ว

    พระอรหันต์นับแต่สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา หลายท่านประสบกับความทุกข์แสนสาหัสทั้งทางกายและใจ แต่ความทุกข์เหล่านั้นเองที่สอนสัจธรรมอันลึกซึ้งแก่ท่าน จนท่านเหล่านั้นประจักษ์แจ้งว่าสังขารทั้งปวงนั้นยึดถือไม่ได้และไม่น่ายึดถือ จิตจึงปล่อยวางอย่างสิ้นเชิง และลุถึงอิสรภาพขั้นสูงสุด ชนิดที่ความทุกข์ไม่อาจครอบงำได้อีกต่อไป

    ยาพิษเช่นสารหนูนั้น สามารถเป็นยารักษาโรคติดเชื้อได้ ส่วนไนโตรกลีเซอรีน ซึ่งใช้ทำวัตถุระเบิด ก็เป็นสารที่ช่วยลดการตายจากโรคหัวใจได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ปัญหาและความทุกข์ทั้งปวง หาได้บั่นทอนจิตใจสถานเดียวไม่ แต่ยังมีคุณประโยชน์ต่อชีวิตและจิตใจด้วย

    คำถามก็คือเรามองเห็นหรือรู้จักใช้มันหรือไม่?
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255006.htm
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,683
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,080
    รับมือกับอารมณ์ที่มาเยือน
    พระไพศาล วิสาโล
    คงไม่ใช่ทุกคนที่ต้องการความสงบใจ ในยามปกติสุข หลายคนย่อมปรารถนาความรื่นเริงบันเทิงใจยิ่งกว่าอะไรอื่น แต่เมื่อใดที่ประสบความผิดหวัง หรือถูกกระทบกระแทก จนจิตใจว้าวุ่นรุ่มร้อน ถึงตอนนั้นจึงใฝ่หาความสงบใจ แต่ยิ่งพยายามทำใจให้สงบ จิตใจก็กลับว้าวุ่นรุ่มร้อนกว่าเดิม เพราะสิ่งที่ผู้คนมักกระทำคือ กดข่มอารมณ์และความคิด ยิ่งนึกถึงเรื่องร้ายหรือเหตุการณ์ที่เจ็บปวดมากเท่าไร ก็ยิ่งอยากผลักไสมันออกไปจากใจมากเท่านั้น แต่การทำเช่นนั้นกลับทำให้มันรังควานเรายิ่งกว่าเดิม

    ความรู้สึกนึกคิดนั้นชอบเล่นตลกกับเรา ยิ่งผลักไสกดข่ม มันยิ่งผุดโผล่ เหมือนเด็กดื้อ ยิ่งห้าม ก็เหมือนกับยิ่งยุ เดวิด เวกเนอร์ (David Wegner) นักจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เคยทดลองด้วยการขอให้อาสาสมัครกลุ่มหนึ่งนั่งอยู่ในห้องเงียบ ๆ คนเดียว โดยมีเงื่อนไขว่าทุกคนจะคิดอะไรก็ได้ แต่ห้ามนึกถึงหมีขาว หากนึกถึงหมีขาวเมื่อใดขอให้กดกริ่งทันที ปรากฏว่า ไม่นานหลังจากที่เริ่มการทดลอง เสียงกริ่งก็ดังระงม

    การทดลองนี้ชี้ให้เห็นว่ายิ่งพยายามไม่คิดถึงสิ่งใด ใจก็ยิ่งหมกมุ่นกับสิ่งนั้น การทดลองดังกล่าวอาจดูเหมือนเป็นเรื่องทำสนุก แต่บ่อยครั้งปฏิกิริยาดังกล่าวของจิตสามารถส่งผลลบได้ในชีวิตจริง เจนนิเฟอร์ บอร์ตัน (Jennifer Borton) และอลิซาเบธ เคซีย์ ( Elizabeth Casey)แห่งมหาวิทยาลัยแฮมิลตัน ได้ขอให้คนกลุ่มหนึ่งนึกถึงเหตุการณ์หรือสิ่งที่แย่ที่สุดเกี่ยวกับตัวเอง จากนั้นก็ให้ครึ่งหนึ่งของคนกลุ่มนี้พยายามผลักไสความคิดดังกล่าวออกไปจากใจตลอด ๑๑ วันข้างหน้า ส่วนอีกครึ่งหนึ่งให้ดำเนินชีวิตตามปกติ ทุกคืนให้แต่ละคนทบทวนว่าตนนึกถึงความคิดดังกล่าวมากน้อยเพียงใด รวมทั้งให้คะแนนภาวะอารมณ์ ความกังวล และความรู้สึกเกี่ยวกับตนเอง

    สิ่งที่นักวิจัยทั้งสองคนพบก็คือ เมื่อเทียบกับคนที่ใช้ชีวิตตามปกติ คนที่พยายามผลักไสความคิดที่เป็นลบเกี่ยวกับตัวเอง จะคิดถึงเรื่องนั้นมากกว่า นอกจากนั้นคนกลุ่มนี้ยังมีความกังวลมากกว่า ซึมเศร้ามากกว่า และรู้สึกเป็นลบเกี่ยวกับตัวเองมากกว่าด้วย

    จริงอยู่มีความรู้สึกนึกคิดบางอย่างที่เราสามารถกดข่มผลักไสจนมันดูเหมือนจะหายไป แต่ในความเป็นจริงมันไม่ได้หายไปไหน หากแต่คอยรังควานรบกวนเราอยู่ในส่วนลึกของจิตใจ (ที่เรียกว่าจิตไร้สำนึก) โดยแสดงอาการในรูปลักษณ์อื่นที่ดูเหมือนไม่เกี่ยวข้องกัน ชายผู้หนึ่งพบว่าตนเองมีปฏิกิริยาอย่างรุนแรงต่อศาลพระภูมิ พบเห็นทีไรก็อยากเข้าไปทำลาย โดยไม่รู้สาเหตุ จนเมื่อไปปรึกษาจิตแพทย์ สิ่งสำคัญที่จิตแพทย์พบก็คือ ชายผู้นี้โกรธเกลียดพ่อมาก เนื่องจากพ่อใช้อำนาจและความรุนแรงกับเขาอยู่เป็นประจำ แต่เขาไม่สามารถยอมรับความรู้สึกนี้ได้ เพราะความใฝ่ดีในใจเขาคอยย้ำเตือนว่าคนดีจะโกรธเกลียดพ่อไม่ได้ ดังนั้นเขาจึงพยายามกดข่มความรู้สึกนี้ แต่มันไม่ได้หายไปไปไหน หากแอบซ่อนอยู่ในจิตไร้สำนึกและหาโอกาสปรากฏตัวในรูปอื่นที่แฝงเร้นแต่เป็นที่ยอมรับได้ง่ายกว่า นั่นคือระบายความโกรธเกลียดใส่ศาลพระภูมิ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่มีสถานะสูงส่งเป็นที่เคารพยำเกรง คล้ายกับพ่อของเขา

    ในเมื่อยิ่งผลักไสกดข่มความรู้สึกนึกคิด มันยิ่งรบกวนจิตใจ จะดีไหมหากเราใช้วิธีตรงข้าม นั่นคือ ปล่อยมันออกมาให้เต็มที่ ถ้าโกรธ ก็ระบายความโกรธออกมาเลย ถ้าเกลียดก็แสดงความเกลียดออกมาสุด ๆ ฟังดูน่าจะดีหากว่าระบายออกมาแล้วมันหายเกลี้ยงไปจากใจ แต่ความจริงหาใช่เช่นนั้นไม่ ดูเผิน ๆ เหมือนมันหาย แต่ที่จริงมันกลับทำให้เราโกรธเกลียดได้ง่ายขึ้น และระบายอารมณ์ออกมาได้รุนแรงกว่าเดิม

    การทดลองของแบรด บุชแมน (Brad Bushman) แห่งมหาวิทยาลัยรัฐไอโอวา ยืนยันข้อสรุปดังกล่าว เขาได้ขอให้นักศึกษา ๖๐๐ คนเขียนเขียนความเรียงเพื่อแสดงความเห็นเกี่ยวกับการทำแท้ง จากนั้นก็มีการนำความเรียงเหล่านั้นไปให้นักศึกษาอีกคนหนึ่งวิจารณ์ แต่ในความเป็นจริงผู้วิจารณ์ก็คือคณะผู้ทดลองนั่นเอง ความเรียงแต่ละชิ้นจะถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง เช่น วิจารณ์ว่า “เป็นความเรียงที่แย่ที่สุดที่เคยอ่านมา” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อคืนความเรียงไปให้เจ้าของ เขาจะรู้สึกโกรธแค้นเพียงใด

    จากนั้นก็มีการเปิดโอกาสให้นักศึกษาเหล่านี้จำนวนหนึ่งระบายความโกรธออกมา ด้วยการชกกระสอบทรายซึ่งติดภาพใบหน้าของคนที่(ถูกอ้างว่า)เป็นผู้วิจารณ์ความเรียงของเขา นักศึกษาแต่ละคนถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังและระบายความโกรธได้เต็มที่ โดยหารู้ไม่ว่ามีการแอบฟังเสียงชกกระสอบทรายเพื่อนับว่ามีการชกกี่ครั้ง ขณะเดียวกันนักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่ง แทนที่จะชกกระสอบทราย ก็ถูกขอให้นั่งเงียบ ๆ ในห้องคนละ ๒ นาที
    ขั้นตอนต่อมา ทุกคนกรอกแบบสอบถามเพื่อประเมินว่าแต่ละคนมีความโกรธ หงุดหงิด หรือขุ่นเคืองใจมากน้อยเพียงใด สุดท้ายก็มีการจับคู่เล่นเกม ผู้ชนะสามารถตะโกนใส่หน้าผู้แพ้ได้เต็มที่ จะดังเท่าใด หรือนานเท่าใดก็ได้

    ผลจากการทดลองก็คือ คนที่ชกกระสอบทรายอย่างเต็มที่นั้น หาได้รู้สึกโกรธน้อยลงหลังจากนั้นไม่ ตรงกันข้ามกลับมีความก้าวร้าวขุ่นเคืองมากกว่าคนที่นั่งนิ่ง ๆ ในห้อง อีกทั้งยังตะโกนใส่หน้าเพื่อนด้วยเสียงที่ดังกว่าและนานกว่าด้วย เห็นได้ชัดว่า ไม่ว่าในแง่อารมณ์และพฤติกรรมที่แสดงออกมา มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างคน ๒ กลุ่ม
     
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    52,683
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,080
    (ต่อ)
    การทดลองดังกล่าวชี้ว่า การระบายความโกรธออกมานั้นไม่ได้ช่วยให้ความโกรธลดลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม มันเหมือนกับการเทน้ำมันลงในกองไฟด้วยซ้ำ

    มองในแง่ของพุทธศาสนา เมื่อเกิดอารมณ์ขึ้นไม่ว่า ความโกรธ ความหงุดหงิดขัดเคือง ความโลภ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือ “อนุสัย” ซึ่งพร้อมจะสะสมนอนเนื่องในจิตใจ หากระบายอารมณ์ดังกล่าวออกมา เช่นระบายความโกรธด้วยการแสดงความรุนแรงไม่ว่าด้วยคำพูดหรือการกระทำ ก็ยิ่งทำให้อนุสัยสะสมมากขึ้น ส่งผลให้ความโกรธก่อตัวง่ายกว่าเดิม รวมทั้งแสดงออกได้ง่ายขึ้นด้วย พูดอีกอย่างคือ เกิดการสะสมเป็นนิสัยสันดาน คนที่ระบายความโกรธออกมาบ่อย ๆ จึงเป็นคนมักโกรธ คนที่ทำตามความอยากอยู่เสมอ จึงเป็นคนมักได้ หากปล่อยไว้นานวันก็จะต้านทานอารมณ์เหล่านั้นได้ยากขึ้นเรื่อย ๆ

    ในเมื่อกดข่มผลักไส มันก็ไม่หายไปไหน ระบายออกไป มันก็กลับสะสมพอกพูน แล้วจะจัดการกับความรู้สึกนึกคิดที่รบกวนจิตใจอย่างไร คำตอบคือ ดูมันเฉย ๆ หรือรับรู้มันด้วยใจที่เป็นกลาง ไม่ต้องผลักไสหรือปล่อยใจ(และกาย)ไปตามอำนาจของมัน นั่นคือมี “สติ” สตินั้นช่วยให้เราไม่เผลอเข้าไปในอารมณ์จนตกอยู่ในอำนาจของมัน ปกติอารมณ์ใดก็ตามมักจะมีแรงดึงดูดให้ใจเราถลำจมหรือหมกมุ่นอยู่กับมัน แต่สติช่วยดึงจิตให้ถอนออกมาจากอารมณ์นั้น และดูมันเฉย ๆ อย่างมีระยะห่าง เหมือนดูกองไฟที่ลุกโชนโดยไม่รู้สึกร้อนรุ่ม แต่ถ้าขาดสติเมื่อใด ใจก็จะโถมเข้าหาอารมณ์นั้นและเกิดทุกข์ตามมา เหมือนกับโดดเข้าไปในกองไฟแล้วถูกมันเผาลน
    การวางระยะห่างจากอารมณ์ ทำให้อารมณ์นั้นค่อย ๆ มอดดับลงเพราะขาดเชื้อ ในทางตรงข้ามการถลำเข้าไปในอารมณ์ หรือครุ่นคิดถึงมันอยู่เสมอ กลับทำให้อารมณ์นั้นลุกโพลงขึ้น เหมือน
    กองไฟที่ได้เชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น

    สติยังช่วยยั้งใจไม่ให้ผลักไสกดข่มอารมณ์ เพราะการทำเช่นนั้นกลับทำให้ติดยึดในอารมณ์มากขึ้น การอยากผลักไสนั้นจะว่าไปแล้วก็เป็นความติดยึดอย่างหนึ่ง และเมื่อพยายามผลักไสก็ยิ่งยึดติดหรือพลัดจมอยู่ในอารมณ์นั้นยิ่งกว่าเดิม ทำนองเดียวกับที่เราพยายามผลักรถที่จอดขวางทาง ยิ่งออกแรงผลักเท่าไร ตัวเราก็ยิ่งแนบชิดกับตัวถังรถมากขึ้น เมื่อมือเราสัมผัสกับสิ่งที่เหม็นสกปรก แม้เราจะพยายามล้างมือและขัดถูเพื่อให้ปลอดกลิ่นเพียงใด แต่เราก็อดไม่ได้ที่จะดึงมือขึ้นมาดมหากลิ่นนั้น ยิ่งเหม็นก็ยิ่งดม ยิ่งอยากขจัดใครบางคนออกไปจากใจ ก็ยิ่งนึกถึงคนนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ต่อเมื่อมีสติรู้ทันอารมณ์และอาการดังกล่าว เราจึงจะปล่อยวางมันได้ และดูมันด้วยใจนิ่งสงบจนมันเลือนหายไปเอง

    ความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย หากเราไม่ไปยุ่งกับมัน ไม่ว่าหลงตามหรือผลักไส มันย่อมดับไปเองตามธรรมชาติของมัน แต่หากมันรบกวนเรา สิ่งที่ควรทำคือรู้หรือดูมันเฉย ๆ เหมือนกับดูสิ่งหนึ่งที่ไม่ใช่เรา

    วันหนึ่งลูกสาววัย ๙ ขวบมารบเร้าแม่ว่าอยากได้ของเล่นอย่างหนึ่งในร้านค้า ลูกสาววิงวอนขอความเห็นใจแม่ว่า อยากได้จริง ๆ เมื่อแม่สอบถามก็ได้ความว่า ลูกอยากได้ไมโครโฟนเล็ก ๆ พอเสียบปลั๊กแล้วก็ร้องเพลงได้ แต่พอลูกตอบว่า ของเล่นชิ้นนี้ราคา ๔๐๐ บาท แม่ก็ตกใจเพราะแพงเกินไปสำหรับเด็กวัยนี้
    ลูกสาววิงวอนแล้ววิงวอนอีก เพราะอยากได้จริง ๆ ในสถานการณ์อย่างนี้ ผู้เป็นแม่โดยทั่วไปมักเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ หากไม่ตามใจลูก ก็ปฏิเสธความต้องการของลูก แต่แม่ผู้นี้รู้ว่ามีวิธีที่ดีกว่านั้น เธอจึงเจรจากับลูกว่า ถ้าลูกอยากได้ลูกต้องซื้อด้วยเงินของตัวเอง โดยมีเงื่อนไข ๒ ข้อ คือ ข้อที่หนึ่ง แม่จะหักค่าขนมของลูกครึ่งหนึ่งนับแต่วันพรุ่งนี้ โดยจะหยอดกระปุกจนครบ ๔๐๐ บาท ข้อที่สอง นับแต่นี้ไปทุกเย็นให้ลูกไปที่ร้านนั้นแล้วดูไมโครโฟนอันนั้น แล้วให้สังเกตดูใจของตัวไปด้วยว่า รู้สึกอย่างไร ชอบมันมากเหมือนเดิมทุกวันไหม
    ลูกดีใจ จึงทำตามที่แม่บอก แต่เมื่อผ่านไปได้ ๔ วัน ลูกก็มาบอกแม่ว่า ไม่อยากได้แล้ว แม่ถามว่าทำไม คำตอบของลูกคือ “เบื่อ” ทำไมถึงเบื่อ ลูกตอบว่า ดูนาน ๆ ก็เบื่อเอง เก็บเงิน ๔๐๐ ไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า

    สิ่งที่แม่ผู้นี้ทำไม่ได้มีอะไรมากไปกว่า การสอนให้ลูกมีสติดูความอยากที่เกิดขึ้นในใจ เมื่อดูมันทุกวัน ความอยากก็จางคลายไปเอง เพราะเป็นธรรมชาติของมันอยู่แล้วที่เกิดขึ้นแล้วก็ต้องดับไป ไม่จีรังยั่งยืน เมื่อดูมันไปเรื่อย ๆ ไม่นานมันก็หมดพิษสง และไม่รบกวนจิตใจอีกต่อไป แต่ส่วนใหญ่แล้วเรามักไม่เห็นความจริงข้อนี้เพราะมักจะทำตามความอยาก หรือไม่ก็ครุ่นคิดถึงมัน จึงทำให้มันมีกำลังมากขึ้นจนยากที่เราจะต้านทานได้

    ความโกรธก็เช่นเดียวกัน เมื่อมันเกิดขึ้น ลองตั้งสติดูมัน เสมือนเป็นสิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจ แต่ไม่ใช่ “เรา” จะลองสังเกตดูกายด้วยก็ได้ว่า ขณะที่โกรธนั้น ลมหายใจเป็นอย่างไร หัวใจเต้นแรงมากน้อยเพียงใด หน้านิ่วคิ้วขมวด กัดฟัน หรือเกร็งมือหรือไม่ การหันมาดูกายและใจ จะช่วยดึงความรู้สึกตัวกลับมา และทำให้ความโกรธจางคลายไป ความโกรธก็เช่นเดียวกับอารมณ์อื่น ๆ ไม่สามารถอยู่ร่วมกับความรู้สึกตัวได้ เมื่อความรู้สึกตัวเกิดขึ้น อารมณ์ก็เลือนหายไป เหมือนกับความมืดที่หายวับเมื่อเจอแสงสว่าง

    แต่หากสติยังไม่เข้มแข็งฉับไว ความรู้สึกตัวอาจเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว แล้วหายวับไป ทำให้ความโกรธผุดขึ้นมาใหม่ ลองน้อมใจมาที่ลมหายใจ แล้วหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาว ๆ สัก ๑๐ ครั้ง จะพบว่าความโกรธทุเลาลง เพราะเมื่อใจละวางจากอารมณ์ มันก็เหมือนกองไฟที่ไม่มีใครเติมเชื้อให้ จึงอ่อนแรงลง จากนั้นลองหันมาดูความโกรธอีกครั้งด้วยใจที่เป็นกลาง ๆ คือดูเฉย ๆ โดยไม่คิดผลักไสกดข่มมัน

    อารมณ์ที่ไม่พึงปรารถนานั้น ยากที่จะป้องกันมิให้เกิดขึ้นได้ มันเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ดังนั้นแทนที่จะคิดผลักไสมัน ลองเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน โดยไม่หลงไปตามอำนาจของมัน ต้อนรับอารมณ์เหล่านี้เสมือนอาคันตุกะผู้มาเยือน ซึ่งเมื่อถึงเวลาก็จากไปเอง โดยไม่ต้องเร่งรัดผลักไส เพียงแค่ยอมรับอารมณ์เหล่านี้ได้ ไม่รู้สึกเป็นลบหรือมองเป็นศัตรู ใจก็สงบไปได้มาก ข้อสำคัญก็คืออย่าหลงเชื่อคำชักชวนของมันจนปล่อยตัวปล่อยใจไปตามมันก็แล้วกัน
    :- https://visalo.org/article/sarakadee255311.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...