พอดีมีประสบการณ์การถอดกายทิพย์อีกแบบหนึ่งที่เกิดขึ้นกับผมโดยไม่เคยออกด้วยวิธีนี้มาก่อน จึงนำมาเล่าไว้เผื่อว่าจะเป็นประโยชน์ได้บ้างครับ ผมขอออกตัวก่อนว่าไม่ใช่ผู้ชำนาญเรื่องนี้ เป็นแต่มีประสบการณ์เกิดขึ้น และผมก็เห็นอยู่ว่าสภาวะนี้อยู่ในกฏไตรลักษณ์ทั้งสิ้น มิใช่สรณะครับ ปกติที่ผมออกจากกายเนื้อนั้นผมจะกำหนดจิตไว้ที่กึ่งกลางหน้าผากครับ คืนวันที่ ๔ พค ๕๑ สี่วันที่ผ่านมา หลังจากสวดมนต์ไหว้พระ นั่งสมาธิตามกิจวัตรประจำวันก่อนนอน แต่วันนี้มีการกำหนดจิตเพิ่มกว่าเดิมหลังจากได้อ่านธรรมบรรยายของหลวงพ่อจรัญเรื่องการทำสติด้วยยุบหนอพองหนอ พอเข้านอนผมได้กำหนดสติตามการยุบพองของท้องแบบแนบแน่นมากแทบไม่ให้คลาดจากอาการยุบพองเลย แล้วจึงหลับไปพร้อมพองยุบสุดท้าย คืนนั้นไม่ได้เกิดการฝันเลยเหมือนปกติที่ผมนอนหลับจะไม่ค่อยฝัน แต่พอใกล้รุ่งผมระลึกสติขึ้นมาเหมือนตื่นนอน แต่กลับปรากฏอาการซู่ ๆ ทางกายทั่วทั้งตัว จึงรู้ขึ้นมาว่ากายทิพย์กำลังจะออกจากร่าง ผมจึงค่อย ๆ พยุงตัวให้ลุกขึ้นจากเตียง ก็พบว่ากายเนื้อยังนอนอยู่บนเตียง แต่ใจไม่ได้นึกว่าอยากจะไปไหน ได้แต่น้อมเอาว่า เออ ออกจากร่างด้วยการทำสติแบบนี้ก็ได้หนอ จึงวูบกลับเข้าร่างและตื่นลืมตาขึ้นมา หลังตื่นนอนจึงได้ทบทวนประสบการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นจึงได้ความรู้ว่า การมีสติอย่างแน่วแน่ เมื่อจิตตื่นระลึกรู้ตัวขึ้นมาในขณะนอนหลับนั้น สิ่งที่รู้สึกตัวขึ้นมาเป็นจิตวิญญาณ หากจิตไม่เกาะอยู่กับกายเนื้อ ความรู้สึกนี้สามารถแยกการรับรู้ที่เกิดขึ้นที่จิตโดยตรงโดยไม่ผ่านทางกายเนื้อได้ เป็นผลให้สามารถแยกจิตวิญญาณออกจากกายเนื้อ และท่องเที่ยวไปได้ ผมคิดว่าวิธีนี้น่าจะง่ายกว่าที่ผมเคยถอดจิตด้วยการเพ่งที่หว่างคิ้ว แต่ทั้งนี้ผมไม่ได้ถอดจิตเป็นประจำ นอกจากจะเกิดขึ้นเองหรือต้องการทบทวนความรู้เพียงเท่านั้น เนื่องจากเป็นประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับสถานะการณ์ใหม่ที่ไม่เคยมาก่อน ผมจึงได้บันทึกไว้เผื่อเป็นประโยชน์ต่อท่านที่กำลังศึกษาเรื่องนี้ครับ
โมทนาสาธุคะ ประสบการณ์ตอนนั้นเกิดขึ้นตอนที่กำลังทวนญาณอยู่ รู้สึกจะเป็นวันที่ 6 ของการทวนญาณ มุญนิจิตุกัมยตาญาณ ช่วงนั่งกำหนดพองยุบอยู่ การกำหนดได้บัจจุบันธรรมดีมาก ไม่มีการส่งจิตออกนอก นั่ง ๆ อยู่กำหนดพองหนอ ยุบหนอ นั่งหนอ จู่ ๆ ก็เห็นตัวเองนั่งอยู่ข้างหน้าตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ตอนนั้นนั่งหลับตาอยู่ ก็รีบกำหนดทันทีว่า เห็นหนอ เห็นหนอ เหมือนภาพตัวเองนั่งส่องกระจกดูตัวเองอยู่ ชั่วขณะก็หายไป จึงกำหนดพองยุบต่อ จากนั้นจะปรากฏอาการอย่างนี้อีกสองสามครั้งด้วยกัน บางทีก็เห็นห้ายทอยตัวเอง เห็นกลางกระหม่อมตัวเอง ไม่รู้ว่าอย่างนี้เรียกว่าเป็นการถอดกายหรือเปล่า ไม่ค่อยแน่ใจคะ เพราะการปฏิบัตแบบดิฉันปฏิบัตินี้ไม่ให้ยึดติดกับภาพนิมิตต่าง ๆ เวลาเห็นอะไรก็ให้กำหนดว่าเห็นหนอ เห็นหนอ รู้หนอ รู้หนอ รู้แล้วจึงวาง ต่อมาจึงว่าง ไม่มีอะไรเลย เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
กรุณาช่วยพิจารณากรณีของผมหน่อยครับ หลายครั้งที่ผมนอนทำสมาธิแล้ว พอทำสมาธิไปไม่นานรู้สึกว่าความรู้สึกทางกายเริ่มน้อยลงอย่างรวดเร็ว การได้ยินลดลงอย่างรวดเร็ว ความรู้สึกลมหายใจลดลงอย่างรวดเร็ว ในลักษณะคล้ายๆวูบๆ....ลงมารวมที่จุดจุดหนึ่ง แล้วก็ผุดออกมาลอย เบาหวิว เห็นทุกอย่างในห้องหมด วันนี้ลองมาอ่านของท่านอื่นๆ ไม่ยักเหมือนกับผม ก็เลยสงสัยว่าอาการของผม เป็นอาการของจิตในสมาธิแบบที่มีคนเคยพูดไว้ที่ เว็บเว็บหนึ่งหรือเปล่า เพราะส่วนตัวผมคิดว่าจิตหลุดออกจากร่าง
การออกไปของจิต ไปได้หลายรูปแบบ บางคนก็ไปแบบถอดกายทิพย์ ก็คือกายทิพย์ลุกขึ้นหรือแยกออกจากกายเนื้อ ซึ่งสามารถมองเห็นกายเนื้อได้ บางคนก็ออกไปแบบดวงสว่าง ไปเห็นนั่นเห็นนี่ ได้ตามกำลังจิตและกำลังบารมีของตนเอง ครับ สำหรับคำภาวนา ไม่เกี่ยงว่าจะภาวนาแบบไหน จะยุบหนอ-พองหนอ, สัมมา-อรหัง พุท-โธ หรือ นะมะ-พะทะ ก็สามารถถอดกายทิพย์ ออกไปได้ทั้งนั้นครับ แต่ก่อนผมภาวนา พุท-โธ ก็ถอดกายทิพย์ออกไปได้ ต่อมาครูบาอาจารย์ท่านให้ใช้คำภาวนา นะมะ-พะทะ ท่านบอกว่า จะทำให้กำลังของจิตแรงขึ้น ซึ่งก็เป็นจริงตามนั้น นานๆไป ไม่ใช้คำภาวนา แต่ใช้กำหนดแยกจิตออกไปแล้วก็เชื่อมต่อด้วยสัมผัสที่หก เพื่อตรวจสอบเท็จ-จริง เป็นต้น ถ้าว่าไปแล้ว ฝึกปล่อยวางจะสบายกว่าเยอะครับ รู้มากไปก็ภาระมากมาย
อยู่กับปัจจุบัน กำหนดอารมณ์กรรมฐานให้อยู่กับปัจจุบันขณะ ไม่พึงปล่อยความคิดปล่อยจิตให้เตลิดออกไปจากรูปนามปัจจุบัน