เรื่องเด่น ผลที่เกิดขึ้นในโลกนี้ ล้วนมาจาก “กรรม” ทั้งสิ้น

ในห้อง 'กฎแห่งกรรม - ภพภูมิ' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 26 สิงหาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    กฏแห่งกรรม เรื่อง น้ำตาแม่ตก ลูกชายไล่ออกจากบ้าน อกตัญญู

    vihan taweesak
    กฏแห่งกรรม เรื่อง น้ำตาแม่ตก ลูกชายไล่ออกจากบ้าน อกตัญญู เรื่อง น้ำตาแม่ตก เมื่อสมัยข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ผู้ใหญ่เคยพูดว่าใครไม่มีความกตัญญูรู้คุณพ่อแม่ผู้มีพระคุณ คนผู้นั้นคบไม่ได้ ท่านห้ามไม่ให้คบ เพียงพ่อแม่เลี้ยงดูมาเป็นพระคุณสูงสุดของเรา ให้ความรัก ให้ความเป็นห่วง ให้ความเมตตาปรานี ไม่มีใครจะรักเราหวังดีต่อเรามากเท่าพ่อแม่บังเกิดเกล้า มีอยู่ในโลกเพียงสองคนเท่านั้น เมื่อท่านล้มหายตายจากไปแล้ว หาไม่ได้อีก ลูกชั่วมันไม่รู้พระคุณพ่อแม่แล้ว มันยังเนรคุณอีก แล้วใครจะคบมันได้ คนพวกนี้ไม่ซื่อกับใคร ข้าพเจ้าก็เพียงจำเอาไว้ว่า คนที่ไม่เคารพพ่อแม่ของตัวนั้นเป็นคนคบไม่ได้ มันก็คบเพื่อนที่ดีไม่ได้เพราะคนดีเขาก็ไม่คบ คงจะคบได้แต่พวกอกตัญญูพวกนิสัยชั่วเหมือนกัน ผู้ใหญ่สมัยก่อนสอนเด็กพวกลูกหลานว่า ใครหรือลูกคนใดทำให้พ่อแม่ช้ำอกช้ำใจจนถึงน้ำตาตก คนผู้นั้นก็บาปหนัก จะต้องได้รับกรรมตามสนองในวันหนึ่งข้างหน้า หนีกรรมที่ตนทำไว้ไม่พ้น ข้าพเจ้าได้ฟังคำของผู้ใหญ่ก็จดจำไว้ รู้ว่าเพื่อนคนไหนมีประวัติไม่เคารพพ่อแม่ผู้มีพระคุณ ก็ไม่ยอมคบให้ความสนิทสนม และต่อมาได้ติดตามดูการครองชีวิตของคนผู้นั้น ไม่มีความเจริญมีแต่ความเสื่อม สุดท้ายกรรมตามสนอง มีลูกก็ไม่มีความกตัญญูแก่ตัว เช่นเดียวกับตัวได้ทำกับพ่อแม่ในอดีต นี่เป็นผลกรรม ข้าพเจ้าได้รับบันทึกจากพระภิกษุรูปหนึ่ง เขียนมาจากวัดโขดทิมราชธาราม ตำบลท่าประดู่ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง ลงวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ ท่านได้บันทึกเรื่องที่ท่านได้ประสบการณ์เกิดขึ้นก่อนอุปสมบท ครั้งท่านยังเป็นฆราวาสในบันทึกของท่านได้เขียนว่า อาตมาได้ประสบการณ์พบเห็นเรื่องจริงได้เกิดขึ้นแล้วด้วยตัวของอาตมาเอง เห็นว่าเข้ากับในชุด “กฎแห่งกรรม” ที่คุณโยมเขียน เพราะอาตมาได้อ่านชุด “กฎแห่งกรรม” รู้สึกมีประโยชน์มาก เพราะทำให้ผู้อ่านจิตใจสบายขึ้น อาตมาจึงได้บันทึกความจริงส่งมาให้ อยากให้คุณโยมพิจารณาดู เรื่องบุคคลที่ได้สร้างกรรมทำชั่วไว้กับผู้เป็นแม่ผู้มีพระคุณสูงยิ่ง ขาดความกตัญญูแล้วหนีไม่พ้นกรรมตามสนอง ตามสนองในชาตินี้ พอรู้ตัวว่าผิดก็หมดลมหายใจ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๐๙ เป็นเวลาที่อาตมารับราชการเป็นพนักงานแผนกที่ดิน อยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดระยอง มีเพื่อนร่วมโรงเรียนจบพร้อมกันและมีอายุเท่ากัน ปีเดียวกัน แต่ทำงานคนละแผนกในอำเภอเดียวกัน วันหนึ่งในเวลาราชการ อาตมาเดินออกจากแผนกที่ดินเพื่อนำหนังสือมาเสนอให้นายอำเภอลงนาม ก่อนที่จะเข้าห้องนายอำเภอ ต้องผ่านหน้าห้องมีโต๊ะปลัดอำเภอตั้งอยู่ เห็นโยมแม่ของเพื่อนยืนร้องไห้อยู่ที่ข้างโต๊ะปลัด เห็นเพื่อนผู้เป็นลูกยืนแสดงสีหน้าเครียดกำลังอารมณ์เสีย ขึ้นเสียงดังด้วยความโกรธ อาตมายืนนิ่งฟังอยู่ห่างๆ เพราะยังไม่รู้เรื่องต้นสายปลายเหตุ ที่สุดก็จับใจความได้ว่า เพื่อนผู้นี้กำลังจะไล่แม่ให้ออกจากบ้าน ไม่สนใจว่าแม่จะไปอาศัยอยู่ที่ไหน อาตมาฟังแล้วต้องชะงักยืนงง ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเพื่อนจะใจเหี้ยมโหดรุนแรงถึงเพียงนี้ อาตมาคิดแล้วก็เศร้าใจ เพราะเพื่อนผู้นี้เคยจบหกพร้อมกันที่โรงเรียนระยองมิตรอุปถัมภ์ และเวลานั้นเพื่อนก็มีภรรยาแล้ว แต่ยังไม่มีบุตรด้วยกัน เมื่อมาพิจารณาดูตั้งแต่เพื่อนได้ภรรยาแล้วก็เปลี่ยนนิสัยไป ก่อนอยู่สองคนกับแม่ก็เป็นคนดี อาตมาได้ยินปลัดอำเภอได้พยายามไกล่เกลี่ย เปรียบเทียบชี้ให้เห็นบุญบาป ที่ทำให้แม่เสียอกเสียใจถึงกับน้ำตาตก ร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วพูดด้วยเสียงสั่นๆ อย่างน้อยอกน้อยใจ แต่ไม่ได้พูดรุนแรงกับลูก พูดจาเรียบๆ ไม่หยาบคาย เหมือนไม่โกรธตอบลูก แต่พูดให้ลูกเห็นใจ มิได้ใช้วาจาหยาบคายตามอารมณ์ ฟังแล้วก็คิดสงสาร เสียงผู้เป็นแม่พูดว่า “แม่ได้ยกบ้านให้ลูกแล้ว เพียงแต่แม่อาศัยไปวันหนึ่งๆ เท่านั้น แม่ไม่ต้องการอะไรทั้งหมด และแม่ก็ไม่โกรธลูกที่ว่าแม่ ไล่แม่ แม่รู้ตัวว่าแม่แก่แล้ว อยู่ได้ไม่นานแม่ก็จะตาย ลูกไม่ควรจะไล่แม่ไปอยู่ที่อื่น แล้วแม่จะไปอยู่ที่ไหนล่ะ ไปอาศัยใครเขาก็คงรังเกียจคนแก่ ช่วยทำงานอะไรให้เขาก็ไม่ไหว เห็นแก่แม่ที่เลี้ยงลูกมาจนโตเถิด แม่แก่แล้วจะอยู่กับลูกไม่นานก็ตาย” อาตมายืนฟังด้วยความสลดใจ น้ำตามันจะไหลออกมา ข้าราชการบนอำเภอต่างก็หน้าเศร้าเหมือนจะร้องไห้ เพราะความสงสารผู้เป็นแม่ คำพูดของแม่แต่ละคำมิได้พูดให้กระเทือนใจลูกเลย มีแต่คำอ้อนวอนให้ลูกมีความสงสารแม่เท่านั้น แต่ลูกกลับมีกิริยาทั้งขู่ทั้งตวาด ใช้วาจาหยาบคายต่อแม่บังเกิดเกล้า เสียงตวาดว่า “ต้องออกจากบ้านเพราะบ้านเป็นของฉัน แม่ยกให้ฉัน ไม่ใช่ของแม่แล้ว แม่ไม่มีสิทธิ์จะอยู่ต่อไป แม่ไม่มีที่อยู่ ไปอยู่วัดก็ได้ ขอให้ไปพ้นบ้านฉัน” อาตมาฟังแล้วมีความแค้นและเจ็บใจแทนผู้เป็นโยมแม่ของเพื่อน ไม่นึกว่าเพื่อนจะมีจิตใจร้ายกาจเยี่ยงสัตว์เช่นนี้ พวกข้าราชการบนอำเภอต่างก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกับอาตมา มีแต่คนแช่งด่าชังน้ำหน้า ไม่มีใครยกย่องว่าเป็นคนดี
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  3. D.(Username)

    D.(Username) ธรรมมะ จะกาโล มะโหติธรรม ผู้เจริญทำยํย้อมมีทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +27
    "กรรม" มีจริงตายไปไม่รู้อ่ะโดนหอกแทงก็ได้
    ใช่หรือเปล่าครับใครเล่าจะรู้วาดสมุดหนังสือเกี่ยวกับเรื่องตายไปแล้วตกนรกมีภาพให้เห็นสะท้อนถึงตัวเองเราไม่ใช่คนรู้กรรมแต่เรารู้ตัวว่ากระทำอะไรลงไปเราต้องชดใช้ไม่ทุกชาติแต่ชาตินี้หรือชาติใดกรรมคงไม่ตามเราไปแน่ถ้าเราอโหสิกรรมให้กันและกันจงขอบคุณกันและกันที่ทุกวันนี้เราอยู่ได้ก็เพราะทำเจตนาไม่ใช่คือเรื่องปรุงแต่งแต่ว่าการปรุงแต่งนั้น
     
  4. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    lpPutThaniyo1.jpg
    “กรรมเก่า... แม้อโหสิกรรมกันแล้วจากเจ้ากรรมนายเวร จะเป็นยังไง” อยากรู้ต้องอ่าน หลวงพ่อพุธ!!! ท่านได้ให้คำตอบไว้
    ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม โดยหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
    ครั้งหนึ่งในอดีต มีลูกศิษย์ของหลวงพ่อพุธเกิดความสงสัยในเรื่องของเคราะห์กรรม หรือเรื่องของเจ้ากรรมนายเวร ซึ่งทางหลวงพ่อพุธได้เมตตาอธิบายในเรื่องนี้ไว้ดังนี้
    คำถาม : การอโหสิกรรม เมื่อเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้แล้ว ผู้นั้นยังจะต้องรับกรรมอีกหรือไม่?
    หลวงพ่อพุธตอบ : อันนี้ต้องทำความเข้าใจ กรรมที่เราทำโดยมีคู่กรณี เช่น ชกต่อยตีกัน ทะเลาะเบาะแว้งกันในเมื่อทำลงไปแล้วต่างคนต่างเจ็บแค้นใจ มันผูกกรรมจองเวรกัน คือคอยที่จะล้างผลาญกัน แก้แค้นกันอยู่เสมอ ทีนี้ในเมื่อปรับความเข้าใจกันได้แล้ว ต่างคนต่างก็ยกโทษให้กัน อโหสิกรรมให้กัน การผูกพยาบาทอาฆาตจองเวรมันก็หมดไป เพราะเราไม่คิดที่จะทำร้ายกันต่อไปอีก แต่บาปกรรมที่ไปตีหัวเขานั้นมันอโหสิไม่ได้ เพราะมันเป็นกฎแห่งธรรมชาติ เราไปด่าเขามันก็เป็นบาป มันผิดศีลข้อมุสาวาท ตีเขาฆ่าเขามันก็เป็นฉายาแห่งปาณาติบาตถึงเขาไม่ตายก็ตาม ถ้าเขาตายก็เป็นปาณาติบาต แม้ว่าผู้ที่ถูกทำร้ายจะอโหสิกรรมให้คือไม่จองเวรกันต่อไป กรรมที่ผู้นั้นกระทำลงไปแล้วย่อมแก้ไม่ตก นี่ต้องเข้าใจกันอย่างนี้
    ทีนี้เราทำบุญอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร ถ้าเจ้ากรรมนายเวรเขาได้รับส่วนกุศลของเรา เขาได้เกิดดีถึงสุขพ้นจากที่ที่เขาอยู่ ซึ่งมันเป็นที่ทุกข์ทรมาน เขาดีอกดีใจเขานึกถึงบุญถึงคุณเราเขาก็อโหสิกรรมให้เราได้ แต่กรรมที่เราฆ่าเขานั้นมันก็ยังเป็นผลกรรมที่เราจะต้องสนองอยู่ เพราะฉะนั้น ผู้ใดต้องการตัดกรรมตัดเวรก็ต้องให้มีศีล ๕ ข้อ จึงจะตัดเวรตัดกรรมได้
    ที่มา : FB: เพจพระอรหันต์ สายหลวงปู่มั่น

     
  5. D.(Username)

    D.(Username) ธรรมมะ จะกาโล มะโหติธรรม ผู้เจริญทำยํย้อมมีทุกข์

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 มีนาคม 2020
    โพสต์:
    37
    ค่าพลัง:
    +27
    เวียนว่ายตายเกิดอย่างนี้นี่เองถึงไม่พ้นทุกข์สักที
    ขออุทิศบุญให้เจ้ากรรมนายเวรที่ล่วงลับไปแล้วเหรอบิดามารดาที่ยังอยู่ขออย่าได้มีเวรซึ่งกันและกันเลย
     
  6. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    วิบากกรรมของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
    พระพุทธเจ้าของเราทรงเผยพระประวัติกรรมและผลของกรรมของพระองค์ กับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ขณะประทับเหนือพระศิลาอันน่ารื่นรมย์ใกล้สระอโนดาด

    ทรงกล่าวว่าครั้งหนึ่ง เห็นภิกษุผู้อยู่ป่ารูปหนึ่งจึงได้ถวายผ้าท่อนเก่า โดยตั้งปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าเป็นครั้งแรก ผลแห่งกรรมอันเนื่องด้วยผ้าท่อนเก่านั้น ได้สำเร็จในความเป็นพระพุทธเจ้า

    ครั้งหนึ่งเคยเป็นนายโคบาล ต้อนแม่โคไปสู่ที่หากิน เห็นแม่โคดื่มน้ำขุ่นจึงห้ามไว้ ด้วยผลแห่งกรรมนั้นในภพสุดท้ายนี้ พระองค์กระหายน้ำ จึงไม่ได้ดื่มตามต้องการ เพราะเคยให้พระอานนท์ไปตักน้ำมาถวาย พระอานนท์ไปแล้วไม่ตักมาบอกว่าน้ำขุ่น ต้องตรัสย้ำให้ไปตักใหม่เป็นครั้งที่สอง จึงได้น้ำใสกลับมาเพราะน้ำขุ่นนั้นกลับใส

    ชาติหนึ่งเคยเป็นนักเลงชื่อปุนาลี ได้กล่าวใส่ความพระปัจเจกพุทธเจ้า พระนามว่าสุรภิผู้มิได้ประทุษร้าย ด้วยผลแห่งกรรมนั้นต้องไปท่องนรกสิ้นกาลนาน เสวยทุกขเวทนาสิ้นพันปี ด้วยกรรมที่เหลือในภพสุดท้ายก็ถูกใส่ความ เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกา ซึ่งเป็นนักบวชหญิงถูกพวกเดียรถีย์ใช้ให้ทำเป็นไปค้างคืนกับพระสมณโคดม ให้ใครต่อใครหลงผิดทั้งที่นางค้างที่อื่น แต่รุ่งเช้าก็ทำท่าโผเผมาจากเชตวนาราม อีกสองสามวันที่มีคนโจษจันกัน พวกเดียรถีย์ก็จ้างนักเลงไปฆ่านาง ป้ายความผิดว่านางถูกฆ่าปิดปาก คนสงสัยว่าอาจจะจริง ร้อนถึงพระราชาส่งราชบุรุษไปสืบดูตามร้านสุรา ก็จับนักเลงที่ฆ่ากับเดียรถีย์ที่จ้างฆ่ามาลงโทษทั้งหมด

    อีกชาติหนึ่งเป็นพราหมณ์ผู้มีความรู้ มีผู้เคารพสักการะ สอนมนต์แก่มานพ 500 ได้ใส่ความภีมฤษีผู้มีอภิญญา มีฤทธิ์มาก หาว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม มานพทั้งหลายก็พลอยชื่นชม เมื่อไปภิกขาจารในสกุลก็เที่ยวกล่าวแก่มหาชนว่าฤษีนี้เป็นผู้บริโภคกาม ผลของกรรมนั้นภิกษุ 500 เหล่านี้ทั้งหมดก็พลอยถูกใส่ความด้วย เพราะเหตุแห่งนางสุนทริกาทีถูกนักเลงฆ่าป้ายความผิดให้พระพุทธองค์ ภิกษุทั้งหลายที่อยู่ในเชตวนาราม พลอยถูกหาว่าร่วมกันฆ่าปิดปากนางสุนทริกา และถูกด่าว่า กระทั่งพระราชาจับนักเลงและเดียรถีย์ที่ร่วมกันฆ่านาง จึงสงบ

    อีกชาติหนึ่งไปกล่าวใส่ความพระสาวกของพระสัพพาภิภูพุทธเจ้า มีนามว่านันทะ จึงต้องท่องไปในนรกหลายหมื่นปี เมื่อเกิดเป็นมนุษย์อีกก็ถูกใส่ความมาก และด้วยกรรมที่เหลือ ชาติสุดท้ายนี้จึงถูกนางจิณจมาณวิกา ใส่ความว่าพระองค์ทำให้นางตั้งครรภ์

    ชาติหนึ่งเคยฆ่าน้องชายต่างมารดาเพราะเหตุแห่งทรัพย์ ผลักลงในซอกเขา เอาหินทุ่ม ด้วยผลแห่งกรรมนั้นจึงถูกพระเทวทัตเอาหินทุ่มที่เขาคิชกูฏ จนสะเก็ดหินกระเด็นถูกหัวแม่เท้า ห้อพระโลหิตในชาติสุดท้าย

    อีกชาติหนึ่งเป็นเด็กเล่นอยู่ในทางใหญ่ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า จึงเผาสิ่งต่างๆขวางทางไว้ ผลกรรมนั้น ในภพสุดท้ายจึงถูกพระเทวทัตส่งคนตามล่า

    ชาติหนึ่งเป็นนายควาญช้าง ไสช้างไล่กวดพระปัจเจกพุทธเจ้าผู้เที่ยวไปเพื่อบิณฑบาต ผลแห่งกรรมนั้น ชาติสุดท้ายถูกช้างนาฬาคิรีดุร้ายเมามัน วิ่งเข้ามาเพื่อทำร้ายในนครอันประเสริฐมีภูเขาเป็นคอกคือกรุงราชคฤห์ ซึ่งมีภูเขาห้าลูกแวดล้อม

    อีกชาติหนึ่งเป็นพระราชา เป็นหัวหน้าทหารเดินเท้า ฆ่าบุรุษหลายคนด้วยหอก ผลแห่งกรรมนั้นต้องหมกไหม้อย่างหนักในนรก ด้วยผลที่เหลือแห่งกรรมนั้น ในชาติสุดท้าย สะเก็ดแผลที่เท้ากลับกำเริบ กรรมยังไม่หมด

    ชาติหนึ่งเคยเป็นเด็กชาวประมง ในหมู่บ้านชาวประมง เห็นชาวประมงฆ่าปลาก็มีความชื่นชม ด้วยผลของกรรมนั้นจึงเกิดเจ็บที่ศรีษะ ในขณะที่วิทูฑภะฆ่าพวกศากยะในกรุงกบิลพัสด์

    อีกชาติหนึ่งเคยเป็นบริภาษพระสาวกในพระธรรมวินัยของพระผุสสพุทธเจ้า ว่าท่านจงเคี้ยว จงกินข้าวเหนียวเถิด อย่ากินข้าวสาลีเลย ผลแห่งกรรมนั้นในชาติสุดท้ายนี้ ต้องบริโภคข้าวเหนียวอยู่สามเดือน เมื่อพราหมณ์นิมนต์ไปอยู่เมืองเนรัญชา แล้วลืมถวายอาหาร ได้อาศัยพ่อค้ามาถวายข้าวเหนียวแดงที่มีไว้ให้ม้ากิน

    ชาติหนึ่งสมัยที่ไม่มีพระพุทธเจ้า เคยทำร้ายบุตรนักมวยปล้ำ ด้วยผลแห่งกรรมนั้นจึงเจ็บที่หลังเรื่อย

    ชาติหนึ่งเคยเป็นหมอ แกล้งให้ยาถ่ายแก่บุตรเศรษฐี เป็นยาถ่ายอย่างแรง ถึงแก่ชีวิต ผลแห่งกรรมนั้น ในชาติสุดท้ายนี้ จึงเป็นโรคปักขันทิกะลงพระโลหิต

    อีกชาติหนึ่งได้ชื่อว่าโชติปาละ เคยกล่าวกับพระสุคตพระนามกัสสปะว่า การตรัสรู้เป็นของได้โดยยาก ท่านจะได้จากควงไม้โพธิ์ที่ไหนกัน ด้วยผลแห่งกรรมนั้น ในชาติสุดท้ายนี้ต้องบำเพ็ญทุกกรกริยาเป็นอันมาก สิ้นเวลาถึงหกปี ต่อจากนั้นจึงได้บรรลุการตรัสรู้

    “เรามิได้บรรลุการตรัสรู้โดยทางนั้น ได้แสวงหาโดยทางที่ผิด เพราะถูกกรรมเก่าทวงเอา” พระองค์ทรงหมายถึง มิได้ปฏิบัติธรรมบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในทันทีเลย ต้องไปหลงผิดปฏิบัติทางอื่นอยู่หกปี อดอาหารจนแทบสิ้นชีวิตเมื่อบำเพ็ญทุกกรกริยา เปลี่ยนมาฉันอาหารอีก ทำให้ปัญจวัคคีย์โกรธเลิกนับถือหาว่าไม่มั่นคง แต่ภายหลังเมื่อพระองค์ทรงปฏิบัติถูกทางจนบรรลุธรรม ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วจึงไปโปรดปัญจวัคคีย์ ให้หายโกรธ หายเข้าใจผิด

    พระพุทธองค์ทรงสรุปการแสดงกรรมอันเกิดจากอดีตชาติทั้งหลายดังกล่าว “เราสิ้นบุญและบาปแล้ว เว้นแล้วจากความเดือดร้อนทั้งปวง ไม่มีความโศก ไม่มีความคับแค้นปราศจากอาสวะ จักปรินิพพาน”
     
  7. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    เรื่อง......เหตุผลที่พระพุทธเจ้าต้องมีอายุเพียง 80 ปี
    “รากษส กับ คนตัดไม้”

    แต่ว่าทำไมองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงเคยกล่าวไว้ว่า
    “ผู้ที่เคยคล่องใน อิทธิบาท 4 ประเภทนี้ สามารถจะอธิษฐานตนให้อยู่ถึงกัปหนึ่ง หรือกัลป์หนึ่งก็ได้”

    “แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากลับนิพพานเมื่อระหว่างอายุของพระองค์อายุได้ 80 ปี ???”

    เป็นเหตุให้พระอรหันต์ทั้งหลายก็มีความสงสัย(แต่ทว่าบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ตั้งแต่ปฏิสัมภิทาญาณก็ดี ได้อภิญญาหกก็ดี วิชชาสามก็ดี ท่านทั้งหลายเหล่านี้ไม่สงสัย รู้ด้วยอำนาจของ อตีตังสญาณ)

    แต่ทว่าสำหรับอรหันต์ขั้นสุกขวิปัสสโกนี้ต้องสงสัย เพราะว่าไม่ได้ญาณวิเศษ จึงได้ค้นคว้าคำแนะนำขององค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์

    ในที่สุดก็พบว่า...
    “สมเด็จพระนราสภ” คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แทนที่จะมีอายุ 1 กัป อย่างที่เขากล่าวกัน

    แต่ทว่า...
    การที่องค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสดาต้องมีอายุ 80 ปี เหตุผลก็เป็นอย่างนี้ตามที่องค์สมเด็จพระชินศรีทรงกล่าวว่า

    อตีเต กาเล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาลตถาคตเสวยชาติพระชาติเป็นหน่อพระบรมโพธิ์สัตว์ บำเพ็ญบารมีเพื่อตรัสเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    ถอยหลังจากชาตินี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากลับไปหลายชาตินี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ากลับไปหลายพันชาติ

    เวลานั้นสมเด็จพระบรมโลกนาถทรงบำเพ็ญบารมีใกล้จะถึง “ปรมัตถบารมี”

    พระวรกายของพระองค์นี้มีส่วนพิเศษอยู่จุดหนึ่ง คือ “เท้าทั้งสอง” ในอุ้งระหว่างกลางเท้าทั้งสองนี่ มีรูป”กงจักรอยู่ด้วยเป็นสีแดง”

    ในเวลานั้น องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า คือเกิดเป็นลูกคนจน ทำมาหากินอยู่ในป่า

    ต่อมาบิดาตาย เหลือมารดาแต่ผู้เดียว ท่านปฏิบัติตนเป็นคนประกอบได้ความกตัญญูรู้ หาเช้ากินค่ำหรือหาค่ำกินเช้า

    นำเอาอาหารมาเลี้ยงมารดามาเลี้ยงมารดาเป็นที่รักคือว่าท่านเป็นคนป่าก็ตัดฟืนขาย เข้าป่าก็แต่เช้าบ่าย จนบ่าย จนเย็น อาบน้ำ อาบท่า กินน้ำบริโภคอาหารเสร็จ

    แล้วก็นำเอาฟืนไปขาย ได้เงินเท่าไร ก็มามอบแก่มารดา มารดาก็จัดเงินทั้งหลายเหล่านี้ จัดหาอาหารมาเลี้ยงดูกัน

    ต่อมา มีเจ้ารากษส(ยักษ์)ขึ้นมาอาละวาด เป็นอันว่า รายได้ขององค์สมเด็จพระทรงธรรม์บรมศาสนา เวลานั้นเต็มไปด้วยการฝืดเคืองมาก

    ท่านกล่าวว่าในวันนั้น พระราชามีความลำบากด้วยยักษ์ตนหนึ่ง ที่เขาเรียกว่า “รากษส”

    นี่ก็มีสภาพเหมือนยักษ์ที่อยู่ในโพรงและอุโมงค์ใต้ดิน น่ากลัวจะเป็นยักษ์ปลาไหล เพราะอยู่ในโพรงและใต้ดิน มันมีมีบ่ออยู่ แต่ว่าทางขึ้นก็ทำเป็นปล่องขึ้น การขุดอุโมงค์อยู่ใต้ดิน

    เจ้า”รากษส”ตัวนี้ ปรากฏว่า ถึงเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเวลาฤดูหนึ่ง ถ้าเวลานี้เปรียบกับเวลา ตรุษสงกรานต์ เป็นงานเกี่ยวกับนักขัตกฤษ์ประจำปี

    เจ้า”รากษส”ตัวนี้ ก็ขึ้นมาจับคนเอาไปกินเป็นอาหาร ทำอย่างนี้เป็นเวลา 2- 3ปี ในแดนไกล

    ต่อมา พระราชาทรงทราบจากบรรดาประชาชนทั้งหลายว่า เจ้า”รากษส”ขึ้นมาอาละวาด เจ้า”รากษส”ตัวนี้ขึ้นมาเป็นเวลากาล ถ้าถึงฤดูนั้นถึงเดือนนั้นมันก็ขึ้นมาจับคนกินเป็นอาหาร จับไปเป็นอาหาร เพื่อ เป็นเสบียงกรัง

    ทำอย่างนี้เป็นเวลา 2-3 ปี จนเป็นที่แน่ใจของบรรดาประชาชนทั้งหลาย ว่า วันนี้แหละ เจ้า”รากษส”จะขึ้นมาจับคนไปกิน จึงได้กราบทูลพระราชาทรงทราบ

    พระราชาก็ป่าวประกาศคนมีฝีมือ ให้สู้กับ”รากษส”ได้ไปดักอยู่ที่ปากปล่องของ”รากษส”ที่จะขึ้น ถ้า”รากษส”ขึ้นมาก็จะฆ่า รากษส ให้ตาย

    แต่ว่าบรรดาท่านผู้ฟังทั้งหลาย “รากษส”มีสภาพเป็นยักษ์ มีความดุร้าย มีกำลังมากแทนที่คนทั้งหลายที่รับอาสาพระราชา จะไปฆ่า “รากษส”ก็กลายเป็นอาหารของ รากษส อย่างดี คือ “รากษส” ไม่ต้องกินไกล จับคนที่ไปฆ่าเขา นำกลับไปกินเป็นอาหาร

    ต่อมาพระราชาเห็นว่า คนทั้งหลายไม่สามารถสู้ “รากษส” ได้ การประกาศให้บรรดาคนที่มีฝีมือทั้งหลาย ภายในขอบเขตของพระราชฐาน

    ไม่มีใครรับ อาสาไปปราบ “รากษส”

    ต่อมาพระราชาได้ประชุมอำอมาตย์ข้าราชบริพารว่า
    “เราไม่สามารถปราบ รากษส นี้ได้เพียงใด ความเป็นพระราชาของเราไม่สามารถจะคงอยู่ เพราะเราไม่สารารถจะให้ความปลอดภัยกับบรรดาประชาชนได้”

    แล้วอาศัยที่พระราชาพระองค์นี้ใช้ทศพิธราชธรรม อันดี เป็นที่รักของปวงชนทั้งหลายบรรดาอำมาตย์ ข้าราชบริพารจึงประชุมกันว่า

    ถ้าหากพวกเราไม่สามารถจะฆ่า “รากษส” ได้ พระราชาก็จะสละราชสมบัติ แล้วคนที่มาใหม่จะดีเท่าองค์นี้ หรือไม่ดี ก็ยังไม่แน่นัก

    จึงปรึกษากันว่า จะทำอย่างไรดี จะให้พระราชทรงครองราชย์ต่อไป

    ในที่ประชุมก็กล่าวกันว่า ทางที่ดีควรประกาศ ให้บรรดาประชาชนทั้งหลายทั่วประเทศที่มีความสามารถเข้าใจกันว่า พระราชามีบุญญาธิการอย่างนี้ และก็มีความดีอย่างนี้ ราษฎรจนที่ไหน พระองค์ก็ทรงจนด้วย
    ราษฎรลำบากที่ไหน พระองค์ก็ทรงลำบากด้วย หาทางช่วยราษฎรให้เป็นสุข พระราชาอย่างนี้เราหาได้ยาก ถ้าอย่างไรก็ดี ก็ควรกราบทูลให้พระองค์ทรงทราบ คนในประเทศของเรา ไม่มีเท่าที่เห็นอยู่ เพราะเราอยู่ในแดนไกลในขอบเขตประเทศต่างๆ มีมากมายว่าควรจะประกาศให้บรรดาประชาชนทั้งหลาย ที่มีความสามารถแต่ไม่มีโอกาสเข้าเฝ้าพระราชา ที่จะอาสาฆ่า “รากษส” ในที่สุดเขากราบทูลให้พระราชาทรงทราบ แล้วก็ทำตามนั้น โดยจะมอบ”ทองคำเท่าลูกฟัก”สำหรับผู้ที่อาสา
    ต่อมาพระราชาก็ส่งคนไปประกาศว่า
    “ถ้าใครสามารถจะฆ่า “รากษส” ให้ตายได้ ในช่วงการรับอาสา จะมอบ”ทองคำเท่าลูกฟักหนักเท่าลูกตัวบุคคลผู้รับอาสา”ให้เป็นทุนสำรองไว้ก่อน ทั้งนี้เผื่อว่าไปพลาดพลั้งถูก รากษส ฆ่าตาย ทางบ้านจะได้ใช้ทองคำนี้จับจ่ายใช้สอย เป็นการประทังชีวิตให้มีความสุขแทนผู้ตาย
    ถ้าหากว่าบุคคลใดฆ่า รากษส ตายแล้ว แล้วตัวเองไม่ตาย ทองคำก็ได้เป็นสิทธิอยู่แล้ว
    แต่เมื่อเวลาที่กลับมาประเทศเขตพระนครพระราชาจะให้เป็น”มหาอุปราช” คือไปมีตำแหน่งรองจากพระราชา
    วันนั้นปรากฏ หน่อพระโพธิ์สัตว์เข้าป่าหาฟืนในป่า แต่ไม่ทันจะเข้าเดินออกจากบ้าน ก็ได้ยินเสียงประกาศจากอำมาตย์ ข้าราชบริพาร ว่า...
    ถ้าบุคคลผู้ใดอาสาฆ่า “รากษส” ได้ราชาจะประทานทองคำหนักเท่าลูกฟัก หนักเท่าเท่าผู้อาสาเป็นเดิมพัน แต่ถ้าฆ่า”รากษส”ไม่ได้ ต้องตายไป ทองคำนี้ก็จะเลี้ยงครอบครัว ถ้าหากฆ่าได้จะแถมรางวัลพิเศษ คือเป็นมหาอุปราช
    หน่อพระโพธิ์สัตว์จึงคิดว่า
    “เราเป็นลูกของแม่คนเดียว หาเช้ากินค่ำ ทรัพย์สมบัติที่หามาได้ ก็กินบ้าง ไม่พอกินบ้าง มีความลำบาก ถ้าหากเรายอมเสี่ยงชีวิตของเราตายแต่เพียงผู้เดียว ให้แม่มีโอกาสได้รับ ทองคำลูกฟัก หนักเท่าตัวเรา แม่ก็จะกินแบบสบายๆ แม้กระทั่งตาย ทองคำยังไม่หมด”
    เมื่อหน่อเนื้อพระบรมโพธิสัตว์กำหนดอย่างนี้แล้วจึงได้รับอาสา แล้วรับทองคำมามอบให้แก่แม่ ตอนนี้แม่คัดค้านอย่างหนัก ไม่อยากจะให้ลูกตาย
    ในที่สุดก็ต้องจำยอม เพราะตกลงกับเขาแล้ว จึงได้มอบทองคำให้แม่ ตัวเอง ก็ไปเฝ้าพระราชากับอำมาตย์ ที่ประกาศหาคน
    เข้าไปเฝ้าแล้ว พระราชาก็ถามถึงเหตุผลของความต้องการ
    “เธอสามารถแน่ใจจะฆ่า”รากษส”ได้หรือ”
    เขาบอกว่า “เขามั่นใจ”
    ต่อไปพระราชาถามว่า
     
  8. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    (ต่อ)
    “เจ้าต้องการทหารเท่าไร? ต้องการอาวุธอะไรบ้าง? ที่จะไปฆ่า”รากษส” “
    หน่อพระโพธิสัตว์ ก็ตอบว่า
    “ไม่ต้องการอะไรทั้งหมด ต้องการฆ่าด้วยมือเปล่า”
    พระราชาก็หนักใจ แต่ว่าเขารับอาสาตามนั้น ก็ต้องปล่อยไป เขานำไปที่ปล่องของ “รากษส” แกขึ้นไปคอยอยู่ประมาณ 2 วัน
    พระราชาทรงให้ทหารไปเป็นเพื่อน นำอาหารไปบริโภค เขาคอยอยู่ที่ปากปล่องที่ “รากษส”จะขึ้น
    ต่อมาเมื่อถึ่งเวลานั้น คือวันกำหนดที่มันจะขึ้น มีเวลาประจำก็ขึ้นมาพอดี
    พอ”รากษส”ขึ้นมาไม่ทันจะพ้นปล่อง หน่อพระโพธิสัตว์ยกเท้าขึ้นว่าจะกระทืบ คือจะกระทืบให้ “รากษส” คอหักตาย
    “รากษส” แหงนหน้าขึ้นมา อุ้งเท้าของหน่อพระโพธิ์สัตว์มีกงจักรในระหว่างท่ามกลางเท้า ก็คิดว่า
    “เราตายแน่ เราสู้ไม่ได้ เพราะคนนี้ต้องเป็นหน่อพระบรมโพธิ์สัตว์”
    เพราะกลางเท้ามีกงจักรสีแดง จึงพูดว่า
    “ช้าก่อน ท่านอย่าพึ่งฆ่าเรา ท่านนี้เป็นหน่อพระโพธิ์สัตว์ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าอีกไม่นานนัก เพราะว่ากลางเท้าของท่านมีกงจักร”
    “หากว่าท่านฆ่าเรา เราตาย ถ้าท่านฆ่าเราไซร้ ตามธรรมดาพระพุทธเจ้าจะต้องมีอายุถึงหมื่นปีบ้างสองหมื่นปีบ้าง ถึงสี่หมื่นปีบ้างก็มี อีกประการหนึ่ง พระพุทธเจ้าสามารถอธิฐานตนให้มีอายุถึงหนึ่งกัลปก็ได้”

    “หากว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้ เวลานี้เรามีอายุ 80 ปี ถ้าว่าท่านฆ่าเราตายในเวลานี้ เมื่อท่านเป็นพระพุทธเจ้า ท่านก็ต้องมีอายุ 80 ปีเท่ากัน การประกาศพระศาสนาของท่าน จะไม่มีผลตามความประสงค์”
    หน่อพระบรมโพธิ์สัตว์ ก็กล่าวว่า
    “เจ้าเป็นสัตว์ดุร้ายมาก ไล่พิฆาตเข่นฆ่าคนเป็นอาหาร ถึงแม้ว่าเราจะบรรลุอภิเษกสัมโพธิ์ญาณเป็นพระพุทธเจ้า มีอายุแค่ 80 ปี เราพร้อมยอมตามนั้น”
    ในที่สุดหน่อพระบรมโพธิสัตว์ ก็กระทืบศีรษะยักษ์ “รากษส” ยักษ์ก็คอหักตาย
    นี่แหละบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย...

    ตามที่องค์พระจอมไตรบรมศาสนาสัมพุทธเจ้า หรือพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว สามารถอธิฐานอายุของตนให้อยู่ถึงกัปลหนึ่ง ก็ย่อมเป็นไปได้เพราะคล่องใน อิทธิบาท 4
    แต่ที่องค์สมเด็จพระมหามุนีบรมศาสดาจะต้องนิพพานภายในอายุ 80 ปี พระบาลีท่านกล่าวว่า เพราะเหตุฆ่า “รากษส” ตนนั้น
    จึงเป็นเหตุให้สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องนิพพานนอายุสั้น ถ้าจะกล่าวกันไปถึงเหตุผล...ว่าในสมัยที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าประทับอยู่ที่ ปาวาลเจดีย์ ตอนนั้นองค์สมเด็จพระชินศรีทรงแสดงนิมิตต่างๆ ให้ พระอานนท์ ทราบ...เพื่อจะทูลอาราธนา แต่มารก็เข้าดลใจให้ พระอานนท์ คิดไม่ถึง

    ขอบคุณข้อมูล
    -พระไตรปิฏก
    -เพจ “เด็กวัด จัดให้”
     
  9. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    สมบัติที่แท้จริง คือ กรรม

    Paderm Yeesomb
    Dec 31, 2020
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2022
  10. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    LpRuesriTasesana.jpg
    พยานบาป-พยานบุญ (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

    พยานบาป

    ท่านลุง (นายบัญชี) ชวนเดินต่อไป
    ผ่านอาคารสอบสวนไปทางทิศตะวันออก
    มองเห็นไก่ เป็ด หมู วัว ควาย
    และสัตว์ต่างๆ ที่มนุษย์กินอยู่กันเป็นกลุ่มใหญ่
    ถามไก่ว่า มีเท่าไร ไก่บอกว่า นับแสน
    ถามเป็ด เป็ดก็บอกว่า นับแสนเหมือนกัน
    หมู วัว ควายก็เป็นแสนเหมือนกัน

    ถามพวกเธอว่า มารวมกันทำไมมากมายอย่างนี้
    พวกเธอบอกว่า มาเป็นพยานให้พระยายม
    เมื่อท่านเรียกผู้ฆ่าสัตว์มาสอบสวน เธอจะเข้าไปรายงานก่อนว่า
    คนนี่ฆ่า ! เชือด ! จับให้เชือด ! หรือสั่งให้ฆ่า ! เป็นต้น

    เป็นอันว่า วันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๓๑ เป็นวันสารทจีนของคนจีนพอดี
    เลยทำให้คิดว่า สารทจีนทั่วโลกต้องฆ่าสัตว์นับล้าน ก็น่าคิด
    พยานบุญ

    เมื่อเดินเลยไปอีก ก็มี คน สัตว์ อีกจำนวนมาก
    แต่ไม่มากเท่าพยานบาป
    เมื่อถามเธอ เธอบอกว่ามาเป็นพยานบุญที่เขาช่วยเหลือไว้
    เมื่อพระยายมถามถึงบุญที่เขาทำ ถ้าเขานึกไม่ออก
    เธอจะเข้าไปรายงานพระยายมว่า เขาเคยช่วยชีวิตไว้
    เมื่อพระยายมรับฟังแล้ว จะให้เขาไปสวรรค์ก่อน
    ชมมาถึงแค่นี้ใกล้เวลาจะเพลจึงกลับ

    (จึงขอให้ท่านระลึกอยู่เสมอว่า
    จะทำดีหรือทำชั่วมีพยานคอยเราอยู่แล้วที่สำนักพระยายม)
    คัดลอกเนื้อหามาจาก...
    หนังสือ การอุทิศส่วนกุศล หน้า ๑๖-๑๗
    โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน (พระมหาวีระ ถาวโร)
     
  11. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    ผิดศีลข้อกาเม กรรมหนักกว่าที่คิด ชีวิตมีแต่ตกต่ำ หาความเจริญไม่ได้ ผลกรรมคนเจ้าชู้ ชาตินี้เจอแน่นอน

    อานนท์ เล่าเรื่อง
    Dec 20, 2019
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2022
  12. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  13. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  14. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
  15. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    คำถาม : วิบากกรรมใดทำให้ป่วยเป็นอัมพาตครับ ?

    พระอาจารย์ : เป็นวิบากกรรมเรื่องการทรมานสัตว์ ในรูปแบบต่างๆ ยกตัวอย่างเช่นไปวางแร้ว วางบ่วงจับสัตว์ ถึงเวลามันพลัดตกลงมาในแร้ว ในบ่วง ก็ถูกตรึงเอาไว้ จะไปไหน ก็ไปไม่ได้ ถูกตรึงอยู่ตรงนั้น วิบากกรรมส่งผลชาตินี้เราเอง จึงไปไหนไม่ได้เองด้วย กลายเป็โรคอัมพาต แต่ว่าไม่จำเป็นว่าต้องไปวางแร้ง อย่างเดียว วางบ่วงอย่างเดียว ถึงต้องเป็น อัมพาตนะ จะไปทรมานสัตว์ด้วยรูปแบบอื่นๆ ก็ส่งผลอย่างนี้ได้เหมือนกัน เจริญพร
    คำถาม : อยากทราบว่าการ คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี อย่างไหนจะเป็นบาปมากที่สุดครับ
    พระอาจารย์ : คุณโยม จุดเริ่มต้นมาจากความคิดก่อน ถ้าคิดไม่ดี คำพูด การกระทำ ก็จะไม่ดีตามไปด้วย แต่ถ้าเกิดคิดดี เดี๋ยวคำพูด การกระทำ ก็จะดีตามไปด้วย เพราะฉะนั้นความคิดเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญมาก แต่ว่าเมื่อทำไปแล้ว ระหว่าง คิด พูด กับ ทำ "ทำมีผลมากที่สุด เหมือนเช่นเราคิดว่าจะตี ทำร้ายสัตว์ แค่คิดกับได้พูดออกไปว่าเดี๋ยวจะทำร้าย กับลงมือทำร้ายจริงๆ ถามว่าอะไรบาปที่สุด ตอบว่าลงมือกระทำมีผลแรงที่สุด แค่คิด บาปยังไม่เยอะ เพียงแต่ว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นเท่านั้นเอง เจริญพร

    โดย พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑโฒ)
     
  16. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    Danger.jpg
    ผู้ประทุษร้าย ในท่านผู้ไม่ประทุษร้าย

    หาอาชญามิได้ ด้วยอาชญา
    ย่อมพลันถึงฐานะ ๑๐ อย่างใดอย่างหนึ่ง
    คือ พึงถึงเวทนาอันหยาบ


    1 ความเสื่อม

    2. ความแตกแห่งสรีระ

    3. ความเจ็บไข้อย่างหนัก

    4. ความฟุ้งซ่านแห่งจิต

    5. ความขัดข้องแต่พระราชา

    6. ความกล่าวตู่อย่างทารุณ

    7. ความเสื่อมรอบแห่งหมู่ญาติ

    8. ความย่อยยับแห่งโภคะ

    อีกประการหนึ่ง
    9. ไฟป่าย่อมไหม้เรือนของผู้นั้น
    เพราะความแตกแห่งกาย
    10. เขาผู้มีปัญญาทราม
    ย่อมเข้าถึงนรก


    (สามาวตี วตฺถุ)
     
  17. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    วัฒนธรรมการใช้ปัจจัย ๔ ในชีวิตประจำวัน
    การใช้อาคารสถานที่
    ศาสนพิธี , ศาสนพิธีต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา
    (วัฒนธรรมชาวพุทธศาสนพิธีต่างๆ ทางพระพุทธศาสนา)

    ศาสนพิธีต่าง ๆ ช่วยทำให้ความศรัทธาต่อพุทธศาสนาของพุทธศาสนิกชนมีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น เป็นสิ่งตอกย้ำใจให้ระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัยได้อย่างดีเยี่ยมจึงเป็นระเบียบแบบแผนอันดีงามที่ควรรักษา ไว้คู่กับพระพุทธศาสนาตลอดไป ในพระพุทธศาสนาแบ่งศาสนาพิธีออกเป็น ๔ หมวดใหญ่ ๆ ดังนี้

    ๑. กุศลพิธี เป็นพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับการอบรมความดีงามทางพระพุทธศาสนา เช่น การรักษาศีล เป็นต้น
    ๒. บุญพิธี เป็นพิธีทำบุญเนื่องด้วยประเพณีการดำเนินชีวิตของคนทั่วไป มีบุญมงคลและอวมงคล เช่น บุญขึ้นบ้านใหม่ บุญหน้าศพ เป็นต้น
    ๓. ทานพิธีเป็นพิธีถวายทานต่างๆ เช่น ถวายสังฆทาน เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เป็นต้น
    ๔. ปกิณกะพิธี เป็นพิธีเบ็ดเตล็ด ได้แก่การอาราธนาศีล การประเคนของพระ เป็นต้น
    ในที่นี้จะนำมาเฉพาะพิธีที่สำคัญ ๆ อันเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของชาวพุทธเสมอ ๆ ดังต่อไปนี้

    page_100.jpg

    พิธีการตักบาตร
    การตักบาตร คือการนำข้าวและอาหารคาวหวานใส่บาตรพระหรือสามเณร โดยอาจทำประจำวันในท้องถิ่นชุมชนที่มีพระสงฆ์และสามเณรออกบิณฑบาต จะทำในวันเกิดของตนหรือวันสำคัญทางศาสนา รวมทั้งวัน ๘ ค่ำ และ ๑๔,๑๕ ค่ำ เป็นต้น

    เบื้องต้นของการตักบาตร ต้องเตรียมใจให้ผ่องใสเป็นกุศล เปี่ยมด้วยความเต็มใจบุญจะได้บังเกิดขึ้น ตั้งแต่เริ่มคิด ขณะทำก็อย่านึกเสียดาย ให้มีสุขใจ หลังจากให้ไปแล้วก็มีความปลื้มปีติยินดีในทานนั้น อย่านึก เสียดายเป็นอันขาด บุญกุศลจึงจะเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในการเตรียมของตักบาตร เช่นข้าวสารอาหารแห้ง หรืออาหารคาว ถ้าของสดพึงระวังอย่าให้ข้าวและอาหารนั้น ๆ ร้อนหรือเย็นจนเกินไปเพราะอาจทำให้เกิด ความลำบากแก่พระสงฆ์หรือสามเณร ที่ต้องอุ้มบาตรต่อไปในระยะทางไกล ของที่ใส่บาตรนั้นนิยมปฏิบัติ เป็นธรรมเนียมว่า ให้ยกขึ้นจบ (ยกขึ้นสูงระดับหน้าผาก ด้วยท่าประนมมือโดยอนุโลม) แล้วนิมนต์พระภิกษุ หรือสามเณรว่า นิมนต์ครับ/นิมนต์ค่ะ เมื่อท่านเดินผ่านมาในระยะใกล้ แล้วใส่ของลงไปในบาตร กล่าว

    คำถวายทานว่า
    สุทินนัง วะตะ เม ทานัง อาสะวักขะยาวะหัง โหตุฯ
    แปลว่า
    ทานที่ข้าพเจ้าให้แล้วด้วยดี ขอจิตของข้าพเจ้านี้จงสิ้นอาสวะกิเลสเถิด

    เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้วนิยมทำการกรวดน้ำเพื่ออุทิศส่วนกุศลผลบุญแก่ผู้อื่นอันเป็นที่รักด้วย ช่วยทำให้เกิดความอิ่มเอิบใจ เป็นสุขให้แก่ผู้ปฏิบัติ page_101.jpg

    พิธีถวายสังฆทาน

    ถวายสังฆทาน คือการถวายวัตถุที่ควรเป็นทานแก่สงฆ์ มิได้เจาะจงแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง หากถวายเจาะจงเฉพาะรูป เรียกว่า "ปาฏิบุคลิกทาน" ไม่ต้องมีพิธีกรรมอะไรในการถวาย ส่วนสังฆทานนั้นเป็นการถวายกลาง ๆ ให้สงฆ์ เฉลี่ยกันใช้สอย จึงมีพิธีกรรมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยเฉพาะการถวายและการอนุโมทนาของสงฆ์


    สังฆทานมีแบบแผนมาแต่ครั้งพุทธกาล ผู้รับจะเป็นภิกษุหรือสามเณร หรือ พระสังฆเถระหรือ พระอันดับชนิดไร ๆ เมื่อสงฆ์จัดไปให้ ผู้ถวายต้องตั้งใจต่อพระอริยสงฆ์ คือ อุทิศถวายเป็นสงฆ์จริง ๆ ผู้รับรับในนามของสงฆ์เป็นส่วนรวม จึงเป็นการถวายสังฆทานด้วยใจที่เป็นกุศล อิ่มเอิบเบิกบานในการถวาย ทานวัตถุที่ถวายจะมากน้อยอย่างไรตามแต่สมควร ประกอบด้วยภัตตาหารและบริวารของใช้ที่เหมาะแก่สมณะ บริโภค ถวายกี่รูปก็ได้แล้วแต่ศรัทธา จะถวายที่วัดหรือสถานที่อื่น ๆ เช่น ที่บ้านหรือสถานที่ประกอบพิธีก็ได้
    การถวายสังฆทานนั้น เริ่มด้วยการจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย (ถ้ามี) แล้วอาราธนาศีล และสมาทานศีล จากนั้นผู้ถวายทานประนมมือ ตั้งนะโม ๓ จบแล้วกล่าวคำถวายสังฆทาน เสร็จแล้วประเคนทานวัตถุแด่พระภิกษุสงฆ์

    หลังจากประเคนถวายพระสงฆ์แล้ว เมื่อพระสงฆ์ผู้นำสวดอนุโมทนาด้วยบท “ยะถา วาริ วหา....” ผู้ถวายทานเริ่มกรวดน้ำ จนถึงบทที่พระสงฆ์ผู้นำสวดถึง “.....มณิโชติ รโส ยะถา” ก็ให้หยุดกรวดน้ำ แล้วประนมมือรับพรพระต่อไปจนจบ
    การอาราธนาศีลและสมาทานศีล

    เบื้องต้นของการบำเพ็ญกุศลของพุทธศาสนิกชน ต้องมีพิธีรับสรณคมน์และศีลก่อนแล้วจึงค่อยอาราธนาพระปริตรถ้าบำเพ็ญบุญเกี่ยวกับการเทศน์จึงจะอาราธนาธรรม การที่ขอเบญจศีลก่อนเสมอไปทุกพิธีนั้น เพื่อชำระจิตให้บริสุทธิ์ ให้เป็นผู้มีศีลสมควรแก่การรองรั พระธรรมสรณคมน์ หมายความว่าขอถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่งก่อนอาราธนาควรกราบพระพุทธรูป ที่โต๊ะหมู่บูชาและบูชาพระก่อนแล้วจึงกล่าวคำอาราธนาตามด้วยการสมาทานศีล
    วิธีอาราธนานั้น บางแห่งให้มีผู้กล่าวอาราธนาแต่ผู้เดียว บางแห่งอาราธนาพร้อมกันทั้งหมด

    คำอาราธนาศีล ๕

    (คำกล่าวนำ) บัณฑิตทั้งหลายกล่าวว่า ศีลเป็นเบื้องต้น เป็นที่ตั้ง เป็นบ่อเกิดแห่งคุณความดีทั้งหลาย และเป็นประธานแห่งธรรมทั้งปวง บุคคลใดชำระศีลให้บริสุทธิ์แล่วจะเป็นเหตุให้เว้นจากความทุจริตจิตจะ ร่าเริงแจ่มใส และเป็นท่าหยั่งลงมหาสมุทร คือ นิพพาน ดังนั้น ขอเรียนเชิญทุกท่าน พึงตั้งใจกล่าว คำอาราธนาศีล โดยพร้อมเพรียงกัน (นะครับ/นะค่ะ)

    มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิยาจามะ,
    ทุติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิยาจามะ,
    ตะติยัมปิ มะยัง ภันเต วิสุง วิสุง รักขะณัตถายะ, ติสะระเณนะ สะหะ, ปัญจะ สีลานิยาจามะ,

    คำถวายสังฆทาน

    (บทกล่าวนำ) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สัปบุรุษย่อมให้ทาน เช่น ข้าวและน้ำที่สะอาดประณีต ตามกาลอยู่เป็นนิจ แก่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ ซึ่งเป็นบุญเขตอันเยี่ยม สำหรับผู้ให้เครื่องบริโภคนั้นได้ ชื่อว่าให้ฐานะห้าประการแก่ปฏิคาหก ดังต่อไปนี้คือ ให้อายุ วรรณ สุขะ พละ และปฏิภาณ ผู้ให้ย่อมได้ ฐานะห้าประการนั้นด้วย ท่านสาธุชนทั้งหลาย บุญเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของพวกเราทั้งหลาย ดังนั้นขอเรียนเชิญทุกท่านพึงตั้งใจ กล่าวคำถวายภัตตาหารเป็นสังฆทานโดยพร้อมเพรียงกัน(นะครับ/นะค่ะ)

    (กล่าวนำ – หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภาคะนะมะการัง กะโรมะเส.)

    นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ. (๓ ครั้ง)
    อิมานะ มะยัง ภันเต, ภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ภิกขุสังฆัสสะ, โอโณชะยามะ, สาธุโน ภันเต, ภิกขุสังโฆ,
    อิมานะ, ภัตตานิ, สะปะริวารานิ, ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ทีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ นิพพานายะจะ,

    ข้าแต่พระภิกษะสงฆ์ผู้เจริญ, ข้าพเจ้าทั้งหลาย, ขอน้อมถวาย, ภัตตาหาร, พร้อมด้วยบริวารทั้งหลายเหล่านี้,
    แด่พระภิกษุสงฆ์, ขอพระภิกษุสงฆ์, จงรับ, ภัตตาหาร, พร้อมด้วยบริวารทั้งหลายเหล่านี้, ของข้าพเจ้าทั้งหลาย,เพื่อประโยชน์, เพื่อความสุข, เพื่อมรรคผลนิพพาน,
    แก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย ตลอดกาลนาน เทอญ.
    :- https://kalyanamitra.org/th/Buddhist_culture_detail.php?page=86
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 10 เมษายน 2021
  18. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    outofsight.jpg
    นอกใจภรรยาท้องแก่

    คำถาม : สามีทำผิดศีลกาเมนอกใจภรรยาท้องแก่จะทำให้ชีวิตมีแต่อุปสรรคทำอะไรไม่เจริญจริงหรือไม่คะ

    พระอาจารย์ : ชีวิตจะมีความทุกข์เยอะเลยคุณโยม ไปหาเรื่องมาใส่ตัวแท้ ๆ ไม่คุ้มเลยยิ่งภรรยากำลังตั้งครรภ์ ต้องอุ้มน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมากว่า 10 กิโลกรัม ท้องแก่น้ำหนักไม่เฉพาะตัวเด็กนะ รกเอ่ยน้ำคล่ำเอ่ยตัวของภรรยาที่ปรับตัวเพื่อที่จะให้น้ำนมลูกเอ่ย น้ำหนักโดยรวมเพิ่มมาตั้ง 10 กว่ากิโลกรัม จะลุกจะนั่งก็ลำบากเป็นช่วงที่ว่าอารมณ์มีความหวั่นไหว สามีต้องค่อยให้กำลังใจดูแลเอาใจใส่ให้เกิดรู้สึกว่าความอบอุ่นใจ ซึ่งจะมีผลถึงเด็กในตัวด้วยแม่อารมณ์ดีอารมณ์สบายลูกเองก็จะเป็นเด็กมีอารมณ์ดีสบายไปด้วย เพราะว่าทั้งความดัน อุณหภูมิในตัว ความดันโลหิตทุกอย่างไปถึงตัวเด็กในตัวตลอดเลย พ่อถ้ารักลูกจริงแล้วละก็จะต้องดูแลภรรยาให้ดี ไม่ใช่ว่าไปนอกใจให้เขาเองซ้ำใจในช่วงนี้ ไม่ควรทำอย่างยิ่งชีวิตจะมีแต่ความทุกข์ เจริญพร
    :- https://kalyanamitra.org/th/article_detail.php?i=17150
     
  19. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    ruleofkarma.jpg
     
  20. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    53,234
    กระทู้เรื่องเด่น:
    170
    ค่าพลัง:
    +33,084
    บุพกรรมในอดีตชาติของ พระอานนท์
    ความจริง ท่านพระอานนท์ได้บำเพ็ญบารมีเพื่อให้ได้ตำแหน่งนี้มาเป็นเวลาตั้งแสนกัป คือ เริ่มตั้งแต่ศาสนาของพระปทุมุตตร สัมมาสัมพุทธเจ้า ในชาตินั้น ท่านได้เกิดในพระนครหงสวดี เป็นโอรสของพระเจ้านันทราช (อานันทราช) และพระนางสุเมธาเทวี (สุชาดา) ผู้ครองนครหงสวดี สมัยนั้นท่านมีนามว่า สุมน กุมารเป็นพระกนิษฐภาดาของพระปทุมุตตรพุทธเจ้า ครั้นเจริญวัยขึ้น พระบิดาทรงมอบหมายให้ปกครองโภคคาม ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลออกไปจากนครหงสวดี ๑๒๐ โยชน์ พระกุมารได้เสด็จกลับไปยังนครหงสวดี เพื่อเฝ้าพระบิดาและพระพุทธเจ้าบ้างเป็นบางคราว
    ครั้งหนึ่งมีกบฏเกิดขึ้นที่ปัจจันตชนบท พระกุมารทรงปราบปรามได้โดยราบคาบ เมื่อความทราบไปถึงพระบิดา ก็ทำให้พระองค์ทรงพอพระทัยมาก รับสั่งให้เรียกพระกุมารไปยังนครหงสวดี ทันทีเมื่อพระกุมารเสด็จไปเฝ้าพระบิดาทรงประคองกอดแล้วรับสั่งให้ขอพรตามที่ต้องการแทนที่พระกุมารจะทูลขอช้าง ม้า ชนบท หรือรัตนะ ๗ ประการ ตามที่พวกอำมาตย์ทูลแนะ พระกุมารกลับทูลขอโอกาสอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเป็นเวลา ๓ เดือน พระบิดารับสั่งให้ขออย่างอื่น เพราะการอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าเป็นหน้าที่ของพระองค์แต่ผู้เดียว ไม่เคยทรงอนุญาตให้ใคร แต่พระกุมารทูลยืนยันจะได้รับพรอย่างเดิม หากไม่พระราชทานพรอันนั้น ก็ไม่ทูลขออย่างอื่น และทูลว่า ธรรมดาพระดำรัสของพระมหากษัตริย์ย่อมไม่เป็น ๒ เมื่อพระบิดาได้สดับดังนั้น ก็ทรงจำนนด้วยเหตุผล แต่ตรัสบ่ายเบี่ยงว่า "ธรรมดาน้ำพระทัยของพระพุทธเจ้ารู้ได้ยาก แม้พ่อจะอนุญาตแล้วก็ตาม หากพระพุทธองค์ไม่ทรงปรารถนา ก็ไม่รู้จักทำอย่างไรได้" พระกุมารทูลรับว่าพระองค์จักรู้น้ำพระทัยของพระผู้มีพระภาคเอง ทูลแล้วได้เสด็จไปสู่พระวิหาร แต่ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคกำลังประทับอยู่ในพระคันธกุฏี ดังนั้นพระกุมารจึงเสด็จไปหาพระภิกษุสงฆ์ที่กำลังนั่งประชุมกันอยู่ที่โรงกลม ทรงแจ้งพระประสงค์จะเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า พระภิกษุสงฆ์ทูลแนะนำให้เสด็จไปหาพระสุมนเถระ ผู้เป็นพุทธุปัฏฐาก
    เมื่อพระกุมารเสด็จเข้าไปหาพระเถระและทรงแจ้งพระประสงค์ของพระองค์ถวายพระสุมนเถระแล้ว พระเถระเข้าฌานมีอาโปกสิณเป็นอารมณ์แล้วแทรกแผ่นดินเข้าไปสู่พระคันธกุฏีกราบทูลพระพุทธองค์ว่า พระราชกุมารมาเฝ้า พระพุทธองค์ตรัสใช้ให้พระสุมนเถระออกไปปูอาสนะภายนอกพระคันธกุฏี พระเถระจึงแทรกแผ่นดินนำพุทธอาสน์ออกไปปูลาดภายนอกพระคันธกุฏี พระกุมารได้ทอดพระเนตรเห็นพระเถระดำดินเข้าออกเช่นนั้น ก็ทรงเห็นเป็นอัศจรรย์ ทรงคิดว่าพระรูปนี้ใหญ่ยิ่งจริงหนอ
    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จออกจากพระคันธกุฏีประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์แล้ว พระกุมารถวายนมัสการกราบทูลถามว่า พระภิกษุรูปนี้เห็นจะเป็นภิกษุที่พระองค์ทรงโปรดปรานมากกระมัง? พระพุทธองค์ตรัสตอบรับว่าเป็นอย่างนั้น พระกุมารทูลถามต่อไปว่า พระภิกษุรูปนี้ได้ทำกรรมอะไรไว้ จึงได้มาเป็นภิกษุที่โปรดปรานอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่าภิกษุรูปนี้ได้ทำบุญให้ทานไว้มาก พระกุมารจึงกราบทูลว่าท่านเองก็ปรารถนาจะได้รับตำแหน่งภิกษุที่พระพุทธเจ้าทรงโปรดปรานอย่างนั้นบ้างในอนาคตกาล แล้วได้ถวายขันธวารภัตสิ้น ๗ วัน ในวันที่ ๗ ได้กราบทูลเล่าเรื่องที่ พระเจ้านันทราช พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ท่านปฏิบัติรับใช้พระพุทธองค์ได้ ๓ เดือน และกราบทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าให้เสด็จไปประทับจำพรรษา ณ โภคคาม กับท่านเป็นเวลา ๓ เดือน เมื่อทรงทราบว่าพระพุทธองค์ทรงรับแล้ว จึงกราบทูลว่าท่านเองจะเสด็จไปก่อน เพื่อสร้างพระวิหารเตรียมรับเสด็จ เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ท่านจะส่งสาส์นมาถวาย แล้วให้พระพุทธองค์เสด็จไปพร้อมกับพระภิกษุหนึ่งแสนรูป เมื่อได้กราบทูลนัดแนะเสร็จแล้วก็ทูลลากลับเข้าสู่พระราชวัง กราบทูลพระบิดาว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับนิมนต์แล้ว เมื่อท่านส่งสาส์นมาก็ขอให้พระบิดาช่วยกราบทูลเชิญเสด็จด้วย พระเจ้านันทราชทรงรับรองอย่างดี
    ครั้นแล้วพระกุมารก็กราบลาพระบิดาเสร็จไปยังโภคคาม ให้สร้างวิหารไว้ในระหว่างทางห่างกัน ๑ โยชน์ ต่อหลัง สิ้นระยะทาง ๑๒๐ โยชน์ เป็นวิหาร ๑๒๐ หลังเพื่อให้พระผู้มีพระภาคทรงพักอาศัยในคราวเสด็จไปสู่โภคคาม และเมื่อพระกุมารเสด็จไปถึงโภคคามแล้ว ก็ได้ทรงแสวงหาสถานที่ที่จะสร้างวิหาร ทรงเห็นอุทยานของโสภนกุฏุมพีจึงทรงขอซื้อด้วยเงินหนึ่งแสน ต่อจากนั้นทรงสร้างพระคันธกุฏีสำหรับพระพุทธเจ้า สร้างที่พักกลางวันที่พักกลางคืน สำหรับพระภิกษุสงฆ์ สร้างลานกุฏิ กำแพง ประตู และซุ้มประตู เมื่อทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จแล้ว จึงได้ส่งสาส์นไปทูลพระบิดาให้อาราธนา พระพุทธเจ้าเสด็จไปยังโภคคามได้
    พระเจ้านันทราชได้ทรงอังคาสพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลให้เสด็จไปยังโภคคาม ตามที่พระกุมารทูลนิมนต์ไว้ พระพุทธเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสงฆ์หนึ่งแสนรูปเสด็จไปยังโภคคาม และทรงพักตามวิหารรายทางต่าง ๆ จนถึงโภคคาม พระกุมารได้เสด็จออกไปถวายการต้อนรับเป็นระยะทาง ๑ โยชน์ ทรงบูชาด้วยดอกไม้ของหอมหลายอย่างและนำเสด็จเข้าสู่โสภนวิหาร กราบทูลถวายพระวิหารนั้นเป็นพุทธบูชา
    ครั้นต่อมาเวลาใกล้วันเข้าพรรษา พระกุมารได้ถวายมหาทานและได้ทรงชักชวนพระโอรสพระชายา และพวกอมาตย์ให้ถวายทานอย่างพระองค์บ้าง ตลอดเวลา ๓ เดือน พระกุมารได้ทรงอุปัฏฐากพระพุทธเจ้าอยู่เป็นประจำ และได้เสด็จไปหาท่านพระสุมนเถระเสมอ ๆ ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้ว จึงเสด็จกลับสู่พระราชนิเวศน์และได้ถวายมหาทานอีก ๗ วัน ในวันที่ ๗ ได้ถวายจีวรแก่พระพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์แล้วทรงตั้งมโนปณิธานว่า ด้วยเดชะกุศลกรรมที่ได้ทรงสร้างมาทั้งหมดนี้ ขอให้พระองค์ได้เป็นพุทธุปัฏฐากของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่งในอนาคตกาลอย่างเช่นพระสุมนเถระนั้นเถิด พระปทุมุตตร พุทธเจ้าทรงพยากรณ์แล้ว เสด็จออกเดินทางไปโปรดสัตว์ ณ ที่อื่นต่อไป
    ในศาสนาของพระปทุมุตตร พุทธเจ้านี้ ท่านพระอานนท์ได้เคยถวายทาน เป็นเวลาหนึ่งแสนปี ครั้นจุติจากชาตินั้นได้ไปเกิดในสวรรค์ จุติจากสวรรค์ลงมาเกิดในมนุษยโลก ในศาสนาของพระกัสสปพุทธเจ้า ก็ได้ถวายจีวรทำการบูชาพระเถระผู้เที่ยวบิณฑบาตรูปหนึ่ง ครั้นจุติจากชาตินั้นก็ได้ไปเกิดในสวรรค์อีก และเมื่อจุติจากสวรรค์ได้ลงมาเกิดเป็นพระเจ้าพาราณสีได้ถวายมหาทานแก่พระปัจเจกพุทธเจ้า ๘ องค์ พระทรงสร้างบรรณศาลา ๘ หลังในมงคลอุทยานของพระองค์ ถวายให้เป็นที่ประทับของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง ๘ องค์ นอกจากนั้นยังได้สร้างตั่ง ๘ ตัวทำด้วยรัตนะล้วนทุกชนิด สร้างเตียง ๔ ตัวทำด้วยแก้วมณี และที่รองรับเท้า ๘ ที่ ถวายพระปัจเจก พุทธเจ้าประทับนั่งในคราวเสด็จมา พระองค์ได้ทรงอุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้าเป็นเวลาหมื่นปี
    ท่านพระอานนท์ได้เคยทำบุญให้ทาน อยู่เป็นเวลา ๑ แสนกัป ในชาติก่อนที่จะลงมาเกิดในชาตินี้ ได้เคยไปเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิตร่วมกับพระพุทธเจ้าของเราครั้งเป็นพระโพธิสัตว์อยู่ ครั้นจุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตก็ได้มาเกิดในศากยตระกูล ดังกล่าวแล้ว
    :-
     

แชร์หน้านี้

Loading...