จะแผ่เมตตา..ให้เจ้ากรรมนายเวรหรือครับ.. ไม่รู้ว่าจะใช้ได้กะเจ้ากรรมทุกประเภทรึเปล่าหนะสิ เคยมีเจ้ากรรมเป็นแมวเขาก็รับนะ แต่ใส้เดือนไม่รู่จะรับอะป่าว ที่น่ากลัวสุุุุดก็คงเป็นคน เพราะคนเป็นได้ทุกอย่าง เจ้ากรรมคุณเป็นอะไรล่ะ
ทำได้หลายแบบ ทำด้วยการภาวนาทางใจ ทำด้วยการกระทำทางกาย ทางใจเช่น ภาวนาให้เป็นก่อนแล้ว ค่อยแผ่ไป ภาวนาก็คือ รวมจิต ให้เป็นสมาธิเป็นหนึ่ง จิตจะเบาโปร่ง แจ่มๆ แล้วก้แผ่ความเบาโปร่งๆ แจ่มๆ ขยายออกไป ไม่มีประมาณ ปราถนาให้ผู้อื่นมีความสุข ปรารถนาให้ผู้ที่ได้ทุกข์ ให้พ้นจากทุกข์ อีกอย่าง ใช้คำภาวนาเป็นบริกรรม รวมสมาธิแผ่ไปในตัว เช่น บริกรรม ว่า จักรวาลมีอยู่ประมาณเท่าใด สัตว์ทั้งหลาย ที่เกิดในจักรวาล มีอยู่ประมาณเท่าใด จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีความคับแค้น จงมีแต่ความสุขเถิด ที่สำคัญ ต้องเอาชนะความขี้เกียจภาวนา ส่วนการกระทำทางกาย ให้ดู พวกจิตอาสา เป็นต้น ว่าเขาไปทำอะไรบ้าง
ชื่อ จขกท. ที่ตั้งมาก็บอกในตัวอยู่แล้วว่า ไม่มีสมาธิ ไม่มีใจตั้งมั่น ไม่มีจิตตั้งมั่น ไม่มีสติ.. สวดมนต์ แผ่เมตตา ต้องมีสติตั้งมั่น จิตตั้งมั่น ใจตั้งมั่น ในบทสวด.. อย่าวอกแวก มีสติอยู่กับปากที่ขยับ มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม.. ฝึกให้ชำนาญ เดี๋ยวก็รู้ด้วยตนเอง..
ขื่อท่านเป็น นักกวนเมืองจนน้ำ้ดำ อะป่าว จขกท เขากำลังมีทุกข์ใจ รู้สึกอยากแผ่เมตตาให้เจ้ากรรมนายเวร โม้ว่ามีเเจโตซะเปล่า ไม่รู้จักหาข้อมูล เดาไปเรื่อย จะทำนายทายทักใคร หัดหาข้อมูล ดูข้อมูลเขาก่อน แหม่ พ่อจิตผ่องใส่
ไม่บอก บอกคนจิตผ่องใสแบบเนรไม่มีศิลก็เหมือนสอน ขโมย ให้เป็น..มหาโจร ที่จริงก็บอกไปแล้ว แต่จิตผ่องใส ดังผ้าเช็ดเท้า คงได้เท่านี้ละอกุศลกรรมปิดบังปัญญามิด จะเอาอะไรมาหนี นาหญ้ารกได้ 5555 เราว่านะ เนร ทำตัวดีๆเถอะ เพราะดูๆแล้ว หนีกรรมไม่พ้นอย่างที่คิดแน่ๆ เป็นห่่่่่่วงน เตือนแล้วเตือนอีก นรกเลยนะ
ก่อนไปคืนนี้ ถามไรเนรหน่อย ทำไมทเนรคุยกะเราต้องเอาคนอื่นมาอ้างด้วยละ ทำตัวเหมือนพวก ไข่เกเร ตัวเองมีปัญหาก็หาพวกมารุม คนแบบเนรนี้ละ ปัญหาทุกข์ใจของ จขกท
คนเห็นความจริงนั้นมีอยู่.. คนไม่เห็นความจริงก็มี.. ส่วนท่าน ดำลง วาสนายังไม่ถึงพร้อมที่จะเห็นสิ่งที่เราแสดง จึงไม่ได้ประโยชน์อะไรกับข้อความของเรา.. เราจึงไม่สามารถโปรดท่านได้ มีแต่ท่าน นพ ที่พอจะโปรดท่านได้ กลับไปหาท่าน นพ ซะเถอะ เพราะท่าน นพ นั่นแหละเป็น "ปัญฑิตา" อีกคน.. รีบกลับไปเสวนา ซะนะ ก่อนจะเสียโอกาสดีๆในชีวิต..
เปิดโอกาสให้ตนเองได้เรียนรู้.. เปิดใจตนเองเรียนรู้ทุกสิ่งกับทุกคน.. ทุกผัสสะที่กระทบอายตนะ ล้วนเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ทุกคนเป็นครูของกันและกัน.. โลกใบนี้มีไว้ให้เรียนรู้ อย่าแบ่งแยกด้วยความคิด ความเห็นตน.. กุสะลา ธัมมา อกุสะลา ธัมมา อัพพะยากะตา ธัมมา.. เรียนรู้มันให้หมด เรียนรู้จากทุกคน เปิดใจตนเองยอมรับกับสิ่งใหม่..
เทคนิค นะ ๑. ลิ้น ปาก ตา ห้ามขยับ (เป็นอุบายดึงให้จิต มีความเป็นทิพย์ หรือ เข้าสู่อุปจารสมาธิชั่วคราว) ๒.ให้นึกเมตตา หรือ อุทิศส่วนกุศล ในใจ โดยที่ขึ้นด้วยอำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยก่อน แล้วถึงค่อย รวมกับบุญบารมีตนเอง ไม่ควรออกเสียง เพราะคลื่นเสียงจะดึง ให้จิตหลุดจากสภาวะความเป็นทิพย์ได้.... ๓. กำหนดการแผ่เมตตา หรือ การอุทิศ ให้ออกจาก ต่ำแหน่ง บริเวณลิ้นปี่ (มองภาพ ว่าร่างกายเราคล้ายๆท่อนำปะปากลมๆ แล้วเราเข้ามาตรงศูนย์กลาง ของท่อปะปานี้ ก็คือ ต่ำแหน่งลิ้นปี่) ๔ กำหนดผลักออกไป จากตรงต่ำแหน่ง ในข้อ ๓ ออกไปให้กว้างที่สุด ไม่ต้องสนใจทิศทาง จะรู้สึกอย่างไร สัมผัสอะไรได้ ในทิศทางใดก็ตามอย่าสนใจ ๕. ให้หงายฝ่ามือทั้งสองออกด้วย เป็นการเพิ่มวิถีในการส่งกำลังที่เราแผ่ (เพราะถ้าคว่ำฝ่ามือ แรงที่ออกจากฝ่ามือจะถูกดึงดูดเข้าสู่ ระบบสนามแม่เหล็กโลกปกติ) ปล. แรกๆจะเหนื่อยหน่อยเรื่องปกติธรรมดา ทำบ่อย ร่างกายจะพอมี กำลังสมาธิสะสมเพียงพอ ที่จะไม่ทำให้ร่างกายเหนื่อยได้เอง เมื่อไร่ที่ไม่เหนือยทำได้แบบชิว นั้นคือ กำลังใช้งานเทียบเท่าระดับปฐมฌาน..... พวกนี้เป็นพื้นฐานการส่งแรงเบสิคทั่วไป อนาคตหากตาปกติดีกว่านี้ค่อยว่ากันอีกที
กำหนดจิตทรงอารมณ์ปฐมฌาน หรือสมาธิ แล้วแผ่เมตตา ครับ ถ้ายังไม่ได้ สมาธิไม่มี ทรงฌานไม่ได้ ก็ไปเริ่มหัดสงบจิตไม่ให้ฟุ้งซ่านแล้วภาวนาให้จิตสงบลงสมาธิแล้วแผ่เมตตา ครับ เริ่มจากภาวนาอานาปานสติ กำหมดจิตให้สงบ อย่าให้นิวรณ์ 5 กำเริบ แล้วก็ภาวนาแผ่เมตตาไปเรื่อยๆ อย่าให้ฟุ้งซ่านไปเรื่องอื่นๆ หัดไปทุกวันบ่อยๆ จิตเริ่มมีสมาธิเริ่มทรงตัวส่งจากนิวรณ์ 5 ไม่ฟุ้งซ่านก็จะได้คับ
ถ้าเป็นพระที่มีเมตาจิตสูง ผมชอบสมเด็จสังฆราชองค์ก่อนมาก เย็นถึงใจ55 องค์อื่นเปิดพัดลมยังเย็นกว่า ไม่รู้ท่านแผ่เมตตาแบบไหน
ศาสนาพุทธ เป็น ศาสนาแห่งปัญญา การจะแผ่เมตตา ก็ต้อง รู้เข้าไปที่เหตุ ของ เมตตา ถ้าเป็น ศาสนาอื่น จะเอา เมตตา ดุ่ยๆ ไปใช้ เห็นด้วยอาการ สัตว์ เห็น สัตว์ สัตว์เห็นลูกประคำ สัตว์เห็นเครื่องรางของขลัง มีความเป็นสัตว์ เต็มหัว แล้วทะลึ่ง แผ่ความโง่ในการเป็นสัตว์ ออกไป แล้วก็บอกว่าเย็น อย่างควายนอนปลัก สังเกตเลย พอเย็นแล้วก็นั่งงงว่า เย็นด้วยเหตอะไร นะ จขกท ลอง ทวนกระแสไปที่ เหตุ ของความเมตตา พอทวนกระแสไปที่เหตุ ของความเมตตา จขกท จะพบว่า มันเป็นเหตุให้เกิด ฌาณ ด้วย ด้วยความที่ มันสิ้นตัณหา ที่นี้ เหตุของ "เมตตา" จขกท สามารถหา คำตอบด้วยตัวเองแค่ไหน ว่า เมตตา มีเหตุ มาจากอะไร หละ ทันทีที่ จขกท สามารถ สาวไปเห็นเหตุ ของ เมตตา ขณะนั้น พึงทราบว่า ฌาณเกิดแล้ว และ เป็น อัปปมัญญา ด้วย อัปมัญญา คือ ข้ามฝากตาย ข้ามความเป็นสัตว์ ง่าย สะเตะ นิ่ม!! ปล.วิธีการ "ทรง" "ฌาณ" ยิ่ง สะเตะ กว่านั้น อีก แค่เห็น "อาการรู้เหตุของเมตตา" เป็น สภาวะธรรม ที่ ดับทันที ไม่มีค้างเติ่ง ตาม เห็นความดับได้เนืองๆ จึงเรียกว่า รู้ชัด ความที่ รู้ชัด ก็คือ ทรงฌาณ ตามเห็นความ ดับของฌาณ จึงเกิดญาณ ตามเห็นความดับ ของญาณจึงเกิดปัญญา ตามเห็นความดับ ไม่มีเหลือของปัญญา จึงเห็นสุดขอบของธาตุ ที่ติดข้องด้วยความเป็นสัตว์ เมตตาอัปมัญญา ของพุทธ ผั๊วะเข้านิพพานตรงนั้นทันที